l ชีวิตในญี่ปุ่น

เข้าร้านทำผมในญี่ปุ่นใครว่าเป็นเรื่องยาก

เข้าร้านทำผมในญี่ปุ่นใครว่าเป็นเรื่องยาก

By , Tuesday, 10 May 2016

​สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนนะคะ เป็นบล็อกเกอร์หน้าใหม่ชื่อ "ลูกเกด" ค่ะ (เรียกเกดก็ได้นะ) ตอนนี้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ที่โตเกียวค่า บล็อกนี้เป็นบล็อกแรกที่เขียนยังไงก็ฝากด้วยนะคะ (^-^)

สำหรับสาวๆ แล้วเรื่องรักสวยรักงามเป็นของคู่กันอยู่แล้วใช่ไหมคะ สังเกตไหมว่าทำไมสาวญี่ปุ่นหลายคนผมถึงได้เป๊ะจัง ทั้งสีผมทั้งการจัดทรง แถมดูแล้วผมสุขภาพดีเป็นธรรมชาติอีกด้วย หลายคนคงอยากมีประสบการณ์ลองเข้าร้านทำผมที่ญี่ปุ่นแต่ก็กลัวคุยกับช่างไม่รู้เรื่อง

เราขอบอกว่า...มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดค่ะ วันนี้เราจะเล่าประสบการณ์เข้าร้านทำผมในญี่ปุ่นให้ทุกท่านฟังค่ะว่าที่นี่เป็นยังไง

เนื่องจากเราเป็นคนชอบทำสีผมประจวบเหมาะกับช่วงนี้โคนดำเริ่มขึ้นยาวพอดี เลยนั่งหาข้อมูลร้านทำผมไปเรื่อย ซึ่งถ้าเป็นแถวชิบูย่า ชินจูกุ ฮาราจุกุ อยากบอกว่าแพงค่ะ ส่วนใหญ่หมื่นเยนอัพ (แถมไกลด้วย) เลยตัดทิ้งไป ก่อนหน้านี้เราเคยเข้าร้านทำผมแถวหอซึ่งราคาถูก แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่เลยตัดทิ้งไปอีก

บังเอิญว่าไม่กี่วันก่อนเราได้โบรชัวร์โฆษณาร้านทำผม Emu ZEST Group ซึ่งในนั้นเขียนว่ามีโปรโมชั่นทำสีลดราคาจาก 1 หมื่น 2 พันเยนเหลือ 5 พันกว่าเยน! เฮ้ย! นี่มันลดครึ่งราคาเลยนะเนี่ย!? พอกลับถึงหอไปรีบหาข้อมูลร้านนี้ทันที ซึ่งร้านในเครือ Zest มีหลายสาขาด้วยกัน เช่น ฮาชิโอจิ นากาโนะ ทาชิกาวะ นอกจากนี้ยังมีบริการอื่นนอกจากเรื่องผม เช่น ทำเล็บ ต่อขนตา เป็นต้น 

ที่สำคัญบรรยากาศร้านดูไฮโซน่าเชื่อถือ แถมสามารถจองได้ผ่านทางเว็บไซต์ด้วย นี่ล่ะเลิศที่สุด (เป็นคนที่กลัวการคุยโทรศัพท์กับคนญี่ปุ่นมาก) เราจึงทำการจองคิวผ่านเว็บไซต์โดยเลือกสาขาฮาชิโอจิเพราะใกล้ที่สุด ซึ่งเราสามารถเลือกช่างได้ตามใจหรือสุ่ม เลือกโปรแกรมว่าต้องการทำอะไร ข้อมูลที่ต้องกรอกก็เป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน ตอนแรกแอบหวั่นเพราะว่าตั้งแต่วันที่จองจนถึงวันที่นัดไม่มีใครโทรศัพท์เข้ามาเลย นอกจากเมลล์ตอบรับอัตโนมัติ นี่ก็รอแล้วรออีกสุดท้ายเลยตัดสินใจลองเสี่ยงไปวันที่จองดู เอาเถอะ ถ้าไม่มีคิวก็แค่หน้าแตกนิดเดียวเอง ขอปลอบใจตัวเองเบาๆ (-_-;)
(นี่คือสภาพผมก่อนทำค่ะ ปลายนี่แห้งแตกมาก)

​และแล้ววันที่นัดก็มาถึง พอไปถึงหน้าร้านอาการป๊อดก็กำเริบค่ะคือร้านไม่ได้ใหญ่โตก็จริงแต่ลูกค้าเยอะ ช่างหลายคนวิ่งวุ่นเลย ไม่คิดว่าร้านนี้จะดังขนาดนี้ พอเปิดประตูเข้าไปก็ยืนเอ๋ออยู่แป๊ปนึง ตอนนั้นเหมือนธาตุอากาศมากเพราะไม่มีใครสนใจยัยต่างด้าวคนนี้เลย อยากจะตะโกนบอกคนในร้านมากว่า 'เฮ้ยูวว~ นี่ลูกค้านะสนใจหน่อย (TOT)' แต่สักพักก็มีช่างเดินเข้ามาหาค่ะ เลยใช้ภาษาญี่ปุ่นงูๆ ปลาๆ บอกเค้าไปว่าจองไว้ เค้าก็ให้นั่งกรอกข้อมูลเพื่อทำบัตรสมาชิกให้

ตอนนั่งกรอกข้อมูลทำให้เรารู้ว่าไม่ได้มีแต่ฝ่ายเราที่เครียด ฝ่ายช่างสุดหล่อก็เครียดเหมือนกัน เพราะช่างบอกเราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เค้าเลยเดินเข้ามาถามเราภาษาญี่ปุ่นไม่เป็นไรใช่ไหม พอเราตอบไปว่าพอเข้าใจ สีหน้าช่างนี่บ่งบอกเลยว่า 'ตรูรอดแล้ววว!' ช่างเลยรัวภาษาญี่ปุ่นมาใส่พร้อมกับเปิดเว็บแปลภาษาให้ดู บอกว่าตอนแรกพอเห็นว่าชื่อเป็นต่างชาติ ก็เปิดสคริปภาษาอังกฤษจากในเว็บเตรียมไว้ใหญ่เลย กลัวคุยกับลูกค้าไม่รู้เรื่อง ฮ่าๆๆ

อันดับแรกเลยเค้าจะให้เรานำมือถือหรือสิ่งของมีค่าใส่ในกระเป๋าใบเล็กค่ะซึ่งเป็นกระเป๋าของทางร้าน เราสามารถถือติดตัวขณะอยู่ในร้านได้ ส่วนกระเป๋าและเสื้อโค้ทของเราช่างจะนำไปเก็บที่ล็อกเกอร์ให้ โดยช่างที่ทำสีและดูแลเราเป็นหลักในวันนี้ชื่อ 'คุริฮาระ' ซังค่ะ

เมื่อเก็บของเสร็จแล้ว คุริฮาระซังก็พาเราไปที่นั่ง แล้วก็ถามว่าต้องการทำสีแบบไหน อยากได้เข้มหรือสว่างกว่าเดิม เราก็บอกรายละเอียดไป แต่อยากแนะนำคุณผู้อ่านว่าควรสระผมก่อนไปค่ะ เพราะว่าที่นี่ไม่เหมือนบ้านเราที่จะมีบริการสระผมให้ก่อน มาถึงก็เก็บผมและลงสีเลย จะได้สระครั้งเดียวหลังจากล้างผมเท่านั้น

อ้อ! แล้วก็อีกเรื่องค่ะ ร้านทำผมที่ญี่ปุ่นทุกร้านเหมือนโดนป้อนข้อมูลมาว่าแกต้องชวนลูกค้าคุยนะ เพราะว่าทันทีคุริฮาระซังเริ่มลงสีให้เราปุ๊ปเค้าชวนคุยไม่หยุดเลยค่ะ เรื่องสัพเพเหระทั่วไปนี่ล่ะ เช่น ประเทศไทยเป็นยังไง ชีวิตในญี่ปุ่น บางเรื่องเราก็ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง ประโยคไหนที่ฟังไม่ออกก็เนียนเออออไปไฮ่อย่างเดียว (-.,-)

แต่เราว่าการที่ช่างชวนลูกค้าคุยก็ถือเป็นเรื่องดีนะคะเพราะทำให้เรารู้สึกไม่เกร็งเวลาที่เจอช่างเฟรนด์ลี่ แถมได้ฝึกพูดภาษาญี่ปุ่นอีกด้วยตอนแรกก็กลัวเวลาเค้าชวนคุย แต่สักพักก็เริ่มชินเราเลยเริ่มเป็นฝ่ายชวนช่างคุยเองด้วยภาษาญี่ปุ่นแบบกากๆ สไตล์เรานี่ล่ะค่ะ เวลาพูดผิดเค้าก็พยายามเข้าใจ แถมแก้ใหม่ให้ด้วย ถามว่าพูดผิดอายไหม บอกเลย...อายค่ะ! แต่พอผิดแล้วทำให้จำได้ดีกว่าอ่านในหนังสืออีกนะ

​ข้อดีของน้ำยาทำสีที่ญี่ปุ่นคือกลิ่นไม่ฉุนเลยค่ะ หลังจากลงสีเสร็จคุริฮาระซังก็เอาแรปมาพันรอบหัว และจับเวลาทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที ระหว่างรอเวลาก็มีบริการเสิร์ฟชาให้ฟรี พอครบปุ๊ปก็จะมีช่างคนใหม่พาไปล้างผม โดยช่างทุกคนจะแนะนำตัวเอง (ซึ่งชื่อยาวมาก จำไม่ได้สักคน) และเวลาจะทำอะไรกับผมเราก็จะบอกก่อนทุกครั้ง เช่น จะเริ่มแล้วนะครับ จะสระผมแล้วนะ บลาๆๆ ที่ญี่ปุ่นเวลาสระผมจะใช้น้ำอุ่นค่ะ โดยช่างจะเอาผ้าสีขาวแผ่นบางๆ มาปิดตาไว้ (เวลาเผลอทำหน้าแปลกๆ ได้ไม่มีคนเห็น ฮ่าๆๆ) นอกจากนี้ช่างญี่ปุ่นสระผมให้เบามือมากถ้าเทียบกับช่างไทยบางร้านที่แทบจะกระชากหัวลูกค้าออกมาได้คงทำไปแล้ว

พอล้างเสร็จก็มีบริการนวดให้อีกเล็กน้อย ซึ่งมันสบายมากจนเกือบหลับ พอนวดเสร็จช่างก็พากลับไปนั่งที่เดิมแล้วก็เปลี่ยนช่างอีกคนมาเป่าผมให้ ช่างที่นี่น่ารักค่ะ ชวนลูกค้าคุยยิ้มแย้มตลอด พอเป่าเสร็จคุริฮาระซังก็มาจัดทรงให้ค่ะ ได้เป็นลอนสไตล์ญี่ปุ่น ธรรมชาติมากเหมือนตื่นนอนแล้วเป็นทรงแบบนี้ เคยพยายามเซ็ตแบบนี้เองค่ะแต่ไม่รู้ทำไมถึงเละ ฮือ (T_T) 

เสร็จแล้วค่ะ! นี่คือสีใหม่ที่ได้ ซึ่งเป็นสี Ash เทาเข้มมีประกายเขียวเล็กน้อย เวลาอ่านออกเสียง 'แอช' กรุณาเผยอปากเล็กน้อยเพื่อความอรรถรส (ตอนแรกคุยกับช่างผู้หญิง ช่างงงค่ะเลยต้องบอกใหม่เป็น 'แอช-ชู่' ช่างถึงจะเข้าใจ =_=) โดยค่าเสียหายทั้งหมดอยู่ที่ 5,140 เยน ซึ่งราคาถูกลงกว่าที่เห็นในโบรชัวร์ตอนแรกอีก เราถือว่าคุ้มอยู่นะกับราคานี้ เพราะผมเราค่อนข้างยาว ถ้าซื้อสีมาทำเองโอกาสพลาดและด่างสูงมาก

แรกๆ สีอาจจะดูค่อนข้างเข้มจนเกือบดำ แต่พอสระไปเรื่อยๆ สีจะประมาณนี้ค่ะ แล้วค่อยๆ เฟดออก อย่างที่บอกทำสี Ash ถ้าไม่กัดสีผม สีจะอยู่ได้แค่ 2-3 อาทิตย์เองค่ะ แล้วก็จะหลุดออกกลับเป็นสีพื้นเก่า

เราใช้เวลาทำสีทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งค่ะ นอกจากนี้ยังได้บัตรสมาชิกและบัตรส่วนลดครั้งหน้ามาด้วย ช่างก็รีบโฆษณาใหญ่ว่าถ้ามาครั้งหน้าอีกมันลดเยอะมากๆ เลยนะ เมื่อจ่ายเงินเสร็จช่างก็ไปส่งถึงหน้าร้าน โดยคุริฮาระซังทิ้งท้ายบอกว่าอย่าลืมแนะนำเพื่อนต่างชาติมาเยอะๆ เค้าจะพยายามฝึกพูดภาษาอังกฤษให้ได้ ขนาดเราออกจากร้านเดินข้ามถนนมาอีกฝั่งแล้วยังจะโค้งขอบคุณให้อีก สมแล้วที่ใครหลายคนต่างยกย่องงานบริการของญี่ปุ่นว่าน่าประทับใจจริงๆ
ถ้าใครมีโอกาสก็อยากลองให้แวะมาดูกับร้านทำผมในญี่ปุ่น ไม่จำเป็นต้องเป็นร้านที่เราไปก็ได้ค่ะ เพราะการบริการและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ คุ้มกับราคาแน่นอน แถมเผลอๆ พอลองเทียบเป็นเงินบาทแล้วถูกกว่าอีกด้วยนะ (^O^)
(สีผมหลังสระไปประมาณ 2-3 ครั้งค่ะ ค่อยๆ เฟดจากเข้มเป็นเทาอมเขียว)

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายที่สุด...นี่เป็นบล็อกแรกอาจจะพิมพ์ผิดพลาดตรงไหนไปบ้างก็ต้องขอโทษด้วยค่ะ ยังไงก็ฝากติดตามต่อไปด้วยนะคะ มาดูกันว่าเรื่องต่อไปจะเป็นเรื่องอะไร เราจะพยายามเขียนเรื่องหลายๆ แนวที่พอจะนำประเด็นเขียนได้ ตั้งแต่เรื่องดียันเรื่องดาร์ก ไว้เจอกันใหม่บล็อกถัดไปนะคะ สวัสดีค่ะ :)