วันนี้เราจะพาคุณผู้อ่านย้อนไปถึงเรื่องราวของเราเมื่อ 2 ปีก่อน สมัยที่ยังพูดภาษาญี่ปุ่นได้แค่ระดับเด็กอนุบาล แต่ถูกที่บ้านส่งไปเรียนที่โรงเรียนสอนภาษาในโตเกียว ซึ่งครั้งนั้นเป็นการไปประเทศญี่ปุ่นครั้งที่ 2 และเป็นครั้งแรกของเราที่เดินทางไปใช้ชีวิตระยะสั้นในต่างประเทศเพียงคนเดียว ด้วยความที่ตัวเองยังพูดไม่คล่องแถมได้ไปอยู่โตเกียวเป็นเดือนจึง เป็นอะไรที่ตื่นเต้นเป็นพิเศษว่าตรูจะรอดมั้ยยยย!?
สาเหตุเนื่องจากช่วงนั้นที่มหาวิทยาลัยที่ไทยปิดเทอม จึงอยากลองไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์ดู ก็ได้ดูข้อมูลโรงเรียนสอนภาษามาหลายที่ค่ะ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกโรงเรียน JTIS หรือ Japan Tokyo International School
สาเหตุที่เลือกที่นี่เพราะโรงเรียนนี้...
1. อยู่ในโตเกียว ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางชินจูกุ แหล่งช็อปปิ้งชั้นดี 2. ดูรูปแล้วก็ค่อนข้างเป็นโรงเรียนใหญ่ 3. ทางโรงเรียนมี Pocket WiFi แจกติดตัวให้ตลอดที่อยู่ญี่ปุ่น (จะคืนก็ตอนเรากลับไทยค่ะ) 4. มีหอพักให้โดยหอพักจะมีหลายที่มีทั้งใจกลางโตเกียว และอยู่ในจังหวัดใกล้เคียงคือไซตามะ
ข้อดีของหอพักที่นี่คือมีอุปกรณ์ครบครันทั้งห้องครัว ทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า อ่างอาบน้ำ ห้องน้ำชักโครกระบบใช้ปุ่มอัตโนมัติ Free WiFi ฯลฯ ซึ่งโชคดีมากหอพักที่ได้อยู่ในเส้นหลัก Yamanote Line แน่นอนว่าสะดวกต่อการเที่ยวสุดๆ 5555 (คือ ณ ตอนนั้นในหัวไม่คิดถึงเรื่องเรียนเลยซักนิด -.,-)
เรามั่นใจว่ามีคุณผู้อ่านหลายๆ คนสนใจไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นกันแน่ๆ ขอแนะนำว่าการจะเลือกเรียนต่อโรงเรียนสอนภาษาแต่ละที่ ควรอ่านข้อมูลให้ละเอียดครบถ้วนก่อนค่ะว่าสถานที่นั้นตรงกับจุดประสงค์ของเราหรือไม่
ทั้งเรื่องราคา หอพัก สถานที่เรียน รวมไปถึง Feedback ของศิษย์เก่าหรือคนที่เคยไปมาแล้วก็สำคัญค่ะ เพราะถ้าเราดูเพียงแต่รูป พอไปถึงอาจไม่เป็นอย่างที่คิดก็ได้ ถ้ามีโอกาสได้ไปงานแนะแนวเรียนต่อญี่ปุ่นในเมืองไทยก็ควรลองแวะไปดูนะคะ เพราะที่นั่นจะมีบูธจากหลายๆ สถาบันและเจ้าหน้าที่คอยให้ความรู้กับเราอยู่ค่ะ
กลับมาที่เรื่องของเราต่อ ก่อนที่เราจะไปเราได้ติดต่อกับทางพี่เจ้าหน้าที่ประสานงานคนไทยของทางสถาบันค่ะ โดยเจ้าหน้าที่จะคอยดูแลนักเรียนไทยที่ไปเรียนที่ญี่ปุ่น เนื่องจากทางสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เราจึงติดต่อเจ้าหน้าที่ผ่านทางเพจ Facebook ไทยของโรงเรียน (เพราะเราอยู่กรุงเทพ)
ขั้นตอนการสมัคร อันดับแรกกรอกใบสมัครออนไลน์ เมื่อทางเจ้าหน้าที่ส่งเรื่องไปถึงญี่ปุ่นแล้ว ทางนั้นจะส่งข้อมูลมาให้โอนเงินไปทางญี่ปุ่น โดยโรงเรียนที่ญี่ปุ่นจะออกใบ Invoice ค่าเรียนให้เราไปชำระที่ธนาคาร หลังจากที่โอนเงินเสร็จก็จะได้เป็นใบ Invitation letter ซึ่งเป็นเหมือนใบที่เป็นหลักฐานว่าเราจะไปเรียนจริงๆ ใช้เวลาขอวีซ่าและเข้าประเทศ (แนะนำว่าตอนไปถึงสนามบินให้ติดตัวไปด้วยค่ะ เพราะบางครั้ง ตม.ขอดูนะ) เนื่องจากว่าเราไปเพียงระยะสั้น 2 เดือน วีซ่าที่เราได้คือ "วีซ่าท่องเที่ยว"
ขอวาร์ปกลับมาที่เหตุการณ์สนามบิน ความรู้สึกตอนหลังจากลากับครอบครัวแล้วเดินเข้าเกทคนเดียวตื่นเต้นมากค่ะ ในใจภาวนาขอให้พรุ่งนี้ถึงญี่ปุ่นแล้วเจอผู้ชายดีๆ เอ้ย! เจอเรื่องดีๆ ด้วยเถอะ พอถึงญี่ปุ่นแล้วก็โดน ตม.สอบถามเล็กน้อยและดูเอกสารค่ะก่อนจะปล่อยตัวไป นึกว่าจะรอด เจอด่านต่อไปโดนตรวจกระเป๋าอีก! ทันทีที่เปิดกระเป๋าหมีพูห์เสินเจิ้น แท่นแท้นนน~~ ชุดชั้นใน~ โอยย...อยากจะเอาหัวมุดเครื่องสแกนกระเป๋ามาก ถ้ารู้ว่าต้องโดนตรวจกระเป๋าจะแพ็คให้ดีกว่านี้แน่ๆ (TOT)
พอเดินออกมาจากเกทให้มองหาคนที่ถือป้ายสถาบันโรงเรียนนะคะ เพราะที่สถาบันนี้จะมีอาจารย์หรือเจ้าหน้าที่มารอรับและไปส่งสนามบินเวลาเรากลับด้วย
หลังจากนั้นอาจารย์ก็พาเราออกจากสนามบินนาริตะเพื่อจะไปส่งเราที่หอพัก โดยทางฝ่ายนู้นจะจ่ายค่าตั๋วรถไฟให้เรา ระหว่างทางบรรยากาศก็แอบอึดอัดเบาๆ เพราะไม่รู้จะคุยอะไร แถมแจ็คพ็อตค่ะ! ดันเข้าไปถึงในเมืองตอนช่วง Rush Hour ขอบอกว่านรกแตกกกก!!
บางคนอาจไม่รู้จักว่า Rush Hour คืออะไร มันคือช่วงเร่งด่วนที่คนญี่ปุ่นจะออกไปทำงานหรือไปโรงเรียนกัน ซึ่งคนเยอะมากกกก ถึงมากที่สุด มากกว่าในไทย 3 เท่าได้มั้ง ขนาดที่ว่าที่เต็มเข้าไม่ได้แล้วแต่คนจากข้างนอกก็พยายามดันๆๆ จนตัวเองเข้ามาได้นี่ล่ะ สภาพในรถไฟถ้าสิงคนข้างๆ ได้คงทำไปแล้ว
แล้วคุณผู้อ่านคิดสภาพค่ะ ต่างด้าวตัวเตี้ยๆ คนนึงถือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เท่าโลก (เวอร์) สะพายเป้แถมอีกมือนึงยังถือกระเป๋าแล็ปท็อปอีก ยัยนี่ก็ต้องค่อยๆ ไต่บันไดลงไปทีละขั้นๆ เพราะบางสถานีที่ถึงมันไม่มีลิฟท์! มายก๊อดดด! นี่ญี่ปุ่นนะเฮ้ย!
แล้วกระเป๋านี่ก็ไม่ใช่เบาๆเลยจ้า จำสายตาของคนญี่ปุ่นตอนนั้นได้ดี คือโดนแซงไม่เท่าไหร่โดนชนแถมยังโดนมองแรงอีก โอ้ย จะให้ฉันขี่หมีพูห์เหาะไปรึไงหาาา!!...ตอนนั้นนี่คิดถึงความมีน้ำใจของคนไทยขึ้นมาทันที (TOT)
หลังจากทุลักทุเลนั่งรถไฟไปได้ประมาณ 2 ชั่วโมง เราก็มาลงที่สถานี โอทสึกะ (Otsuka) ค่ะ เป็นสถานีที่อยู่ติดสถานีอิเคะบุคุโระ (Ikebukuro) เลยซึ่งโชคดีมากๆ เพราะนี่มันเป็นย่านใจกลางเมืองสุดๆ แอร๊ยย~สวรรค์สุดๆ (>O<)
โอทสึกะเป็นแหล่งชุมชนที่อยู่อาศัยที่น่าอยู่มากค่ะเพราะไม่ได้วุ่นวายเกินไปเหมือนที่ชิบูย่า ชินจูกุ มีห้างใหญ่และสตาร์คบัค 2 สาขาตั้งอยู่บริเวณสถานี แถมเดินทางไปไหนมาไหนก็สะดวก
พอออกจากสถานีปุ๊ป อาจารย์จะเป็นคนพาเราไปทำ บัตร Suica หรือเรียกอีกชื่อคือบัตร IC Card ที่ตู้ค่ะ ลักษณะบัตรเป็นเหมือนบัตร Rabit BTS ของบ้านเรา (แต่ครั้งนี้เราต้องเสียเงินค่าทำบัตรเอง) สะดวกมาก ใครที่มาอยู่ญี่ปุ่นหลายวันควรทำไว้จะได้ไม่ต้องเสียเวลาซื้อตั๋วบ่อยๆ
พอทำเสร็จอาจารย์ก็พาเราไปหอพัก ขอบอกว่าใครที่มาครั้งแรกรับรองว่า หลง-ทาง-แน่-นอน! เพราะว่าต้องเดินตรงแถมเลี้ยวนู่นนี่เข้าซอยไปอีก แนะนำว่าแรกๆ ควรถ่ายรูปสถานที่ข้างทางใส่โทรศัพท์ไว้ก่อนเผื่อเวลาหลงค่ะอาจารย์จะพามาส่งเราแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นก็ต้องถือคติตนเป็นที่พึ่งแห่งตนค่ะ จากสถานีเดินทางมาถึงหอพักใช้เวลาประมาณ 20 นาที
เป็นอย่างไรบ้างคะกับหอพักที่นี่ สภาพน่าอยู่มากเลยใช่มั้ย วันถัดไปเป็นวันที่เราต้องไปโรงเรียนเป็นวันแรก โดยอาจารย์ได้พาเราไปฝากตัวนักเรียนชาวพม่าห้องข้างๆ ให้นำทางเราไปโรงเรียนแทน หลังจากนั้นอาจารย์ก็ปล่อยตามอัธยาศัยค่ะ ซึ่งอันดับต่อไปที่เราต้องทำคือต้องปูที่นอนด้วยตัวเอง หลังจากนั้นเราก็ตัดสินใจเดินสำรวจบริเวณรอบๆ หอพักค่ะ แน่นอนว่าหลงอีกตามเคย แต่เพราะหลงทางนี่ล่ะเลยทำให้จำได้แม่น 5555
สำหรับวันนี้เราจะขอแนะนำสภาพความเป็นอยู่ของหอพักที่เราเคยอยู่ก่อนนะคะ ไว้บทความถัดไปเราจะมาพูดถึงสถานที่เรียนค่ะ (^O^)
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/JTIS.THAI
ขอขอบคุณรูปภาพจาก : Micha Hummelink และ Aun Kanjanasuda
ขอขอบคุณคลิปวิดีโอจาก : I Love Japan ภาษาญี่ปุ่น เที่ยวญี่ปุ่น
I LOVE JAPAN GROUP CO.,LTD
Park Ploenchit
61/7 Sukhumvit 1 Road Khongtoey Nua
Wattana Bangkok, Thailand, 10110
info@ilovejapan.co.th