l ชีวิตในญี่ปุ่น

ตามติดชีวิตนักเรียนโรงเรียนสอนภาษา คอร์สระยะสั้น! (ตอนที่ 3 : คลาสพิเศษ)

ตามติดชีวิตนักเรียนโรงเรียนสอนภาษา คอร์สระยะสั้น! (ตอนที่ 3 : คลาสพิเศษ)

By , Thursday, 22 September 2016

​และแล้วเราก็มาถึงตอนสุดท้ายกันแล้วค่ะ ความเดิมตอนที่แล้วหลังจากที่เราเลื่อนขอย้ายคลาส (สามารถย้อนอ่านตอนที่ 2 ได้จาก http://www.ilovejapan.co.th/life/entry/review-language-school-chapter-2) เราก็ได้เลื่อนมาอยู่คลาสพิเศษ ซึ่งที่เซอร์ไพร์สคือคลาสนี้มีแต่คนไทยล้วนค่ะ! เพราะนักเรียนไทยที่มาส่วนใหญ่ก็มาระยะสั้นช่วงปิดเทอมเหมือนเรา แล้วหลายคนต่างก็ต้องไปแทรกคอร์สกับนักเรียนประจำ ทางเจ้าหน้าที่และอาจารย์จึงแก้ปัญหาโดยการจับพวกนี้มารวมกันแล้วเปิดเป็นคลาสใหม่ให้เลย

นักเรียนที่มาก็มีจากหลายมหาวิทยาลัยค่ะ สำหรับคลาสนี้เป็นคลาสที่เน้นทำกิจกรรมมากกว่าเรียนในตำรา แถมไม่ค่อยมีการบ้านให้เหมือนคลาสปกติด้วย อาจจะเพราะระยะสั้นล่ะมั้ง ทางโรงเรียนจึงไม่เน้นเรียนเนื้อหามาก เช่น มีการพาไปทัศนศึกษาที่ต่างๆ เล่นเกมไพ่คารุตะ เขียนพู่กัน ฯลฯ

นอกจากนี้เรายังสามารถบอกอาจารย์ผู้สอนได้ค่ะว่าเราอยากเรียนอะไร แต่เนื่องจากนักเรียนที่โดนจับมารวมกันแต่ละคนพื้นฐานไม่เท่ากัน บางคนเรียนมานาน บางคนไม่มีพื้นเลย คือเริ่มตั้งแต่ท่องอักษรใหม่ ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนจึงค่อนข้างเป็นปัญหา สุดท้ายเราก็ต้องเรียนไวยากรณ์ซ้ำๆ กับที่เคยเรียนมาแล้ว (ระดับ N4-N5) ไม่สามารถเรียนสูงมากไปกว่านี้ได้
ดังนั้นคนที่อยากมาเรียนเพื่อต้องการความรู้แบบจริงจังอาจไม่เหมาะกับคลาสแบบนี้เท่าไหร่ค่ะ... 

การที่อาจารย์พาไปทัศนศึกษานอกสถานที่นั้นค่าใช้จ่ายทั้งหมดเราต้องจ่ายเองค่ะ โดยอาจารย์มีหน้าที่แค่พาไปเท่านั้น ซึ่งตรงส่วนนี้เราไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ เพราะว่าแต่ละที่ที่พาไปนั้น…หนูไปมาเองหมดแล้วค่ะ (=_=) บางกิจกรรมเองก็ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงค่ะ เช่น พาไปดูพิธีชงชา ซึ่งเราต้องเสียค่าเข้าร่วมประมาณ 1,000-2,000 เยน ไม่รวมค่าเดินทาง (ราคานี้เอาไปกินเนื้อย่างได้เลยนะ TOT) แต่เห็นสีหน้าที่มุ่งมั่นของอาจารย์แล้วก็ปฏิเสธไม่ลง สำหรับวิทยากรสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี
อันดับแรกเมื่อเข้าไปในห้องชงชาแล้วต้องล้างมือก่อนค่ะ
ขนมญี่ปุ่นที่ต้องกินพร้อมกับชาค่ะ อร่อยมาก เสียดายให้แค่ชิ้นเดียว
หลังจากชิมชา (ที่โคตรขม) เสร็จแล้วก็สอนมารยาทและวิธีการนั่ง
วันที่เราไปดูพิธีชงชาตรงกับวันทานาบะตะพอดี (งานเทศกาลทานาบาตะหรือจะเรียกอีกชื่อว่า งานเทศกาลฉลองดวงดาวของญี่ปุ่นตรงกับวันที่ 7 เดือน 7 ของทุกปี เป็นวันที่เชื่อกันว่าสาวทอผ้าและชายเลี้ยงวัวจะได้พบกันเพียงปีละครั้ง) โดยเราและเพื่อนๆ เองได้มีโอกาสเขียนคำอธิษฐานแล้วเอาไปผูกกับต้นไผ่ด้วย

กิจกรรมต่อไป คือ พาไปเล่นสเก็ตน้ำแข็ง ที่ สถานีทาคาดะโนะบะบะ (Takadanobaba) สถานีบ้าอะไรฟะ ชื่อออกเสียงยากชิบ (-_-) ซึ่งอยู่ถัดจาก สถานีชินจูกุ (Shinjuku) โดยเส้น Yamanote Line ไปเพียง 2 ป้ายเท่านั้น เพิ่งรู้ว่าหน้าร้อนก็ยังมีลานสเก็ตให้เล่นได้ด้วย สำหรับที่นี่มีค่ารองเท้าสเก็ต 500 เยนต่างหาก คิดเป็นครั้งค่ะ เข้าไปครั้งเดียวสามารถเล่นกี่ชั่วโมงก็ได้

และด้วยความที่ยัยกะเหรี่ยงนี่ไม่เคยเล่นสเก็ตมาก่อน ทำให้ค่อนข้างอับอายมนุษย์ญี่ปุ่นตั้งแต่เด็กตัวกะเปี๊ยกยันสมาคมคุณลุงคุณป้าที่แก่จนไม่น่าจะมาเล่นอะไรแบบนี้ได้ แต่อย่าได้ดูถูกไปค่ะ! 

แม้คุณลุงคุณป้าที่ดูแล้วอายุรวมกันน่าจะเกิน 100 ปีกลับมีลีลาที่เฟี้ยวฟ้าวยิ่งกว่าเด็กๆ ซะอีก แต่ละคนนี่วิ่งส่ายตูดไปมาดุ๊กดิ๊กๆ เหมือนนกเพนกวิ้น ลีลาแต่ละคนนี่อย่างกับจะไปแข่งโอลิมปิค

อาจารย์ที่พามาก็เช่นกันค่ะ พอลงสนามปุ๊บก็วิ่งฉิวเหมือนว่าชาตินี้ไม่ได้เล่นสเก็ตมานาน ทิ้งให้เหล่าลูกศิษย์ยืนเงิบประหนึ่งว่าแกกับฉันไม่ได้มาด้วยกัน สุดท้ายพวกเราก็ค่อยๆ ฝึกไถไปเรื่อยๆ จนเริ่มเล่นเป็น นี่ถ้ามากับแฟนจะเป็นอะไรที่โรแมนติกเหมือนซีรี่ส์มาก ชายหนุ่มหญิงสาวจูงมือหัวทิ่มไปด้วยกัน แต่สำหรับคนที่ไม่มีคู่...จงเกาะขอบลานน้ำแข็งวนไปค่ะ!!
ระหว่างรอเล่นไวกิ้งค่ะ สนุกดีแต่ไม่ค่อยเสียวเท่าไหร่
โรงเรียนได้พาเราไป สวนสนุกที่โตเกียวโดม (Tokyo Dome) ค่ะ โตเกียวโดมเป็นสนามกีฬาในร่มขนาดใหญ่อยู่ใจกลางโตเกียว เป็นสถานที่ที่มักมีการจัดแข่งเบสบอล และการแสดงคอนเสิร์ตของศิลปินทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ ที่นี่อยู่ในเขตบุงเคียว (Bunkyo) ค่ะ สามารถเดินทางจากสถานีอิเคะบุคุโระ (Ikebukuro) มาลง สถานีโคระคุเอ็น (Korakuen) โดยใช้สายสีแดง Marunouchi Line

โตเกียวโดมนั้นรายล้อมไปด้วยร้านอาหารและแหล่งช็อปปิ้งร้านค้าชื่อดัง ที่สำคัญมีสวนสนุกอีกด้วยนะ! สำหรับใครที่ชอบรถไฟเหาะก็แนะนำให้มาค่ะ เพราะรถไฟเหาะที่นี่ก็ไม่ธรรมดา เห็นว่าติดอันดับสวนสนุกหวาดเสียวในญี่ปุ่นด้วย ขอบอกว่าเสียวมากกก!

นอกจากนี้เรายังได้มีโอกาสไปพิพิธภัณฑ์การ์ตูนอีกด้วยค่ะ ซึ่งภายในก็มี Work Shop ให้ทำ คือได้มีโอกาสลองออกแบบคาแร็กเตอร์ตัวการ์ตูน และยังได้ชมวิธีการทำอนิเมชั่น (ซึ่งค่าเดินทางเราต้องจ่ายเองทั้งหมด)
เดี๋ยวจะหาว่าโม้ จุดสตาร์ทอยู่ฝั่งชิงช้าสวรรค์ค่ะ มาถึงพุ่งขึ้นไปเลยไม่ทันได้เตรียมใจ (T.T)
Work Shop ที่พิพิธภัณฑ์การ์ตูน ออกแบบคาแร็กเตอร์ได้ตามใจชอบค่ะ
สำหรับกิจกรรมภายในโรงเรียน เช่น เกมไพ่คารุตะ (Karuta) โดยเกมนี้เป็นเกมที่ต้องฝึกไหวพริบและความเร็วในการตบไพ่อย่างมาก โดยจะมีคนหนึ่งที่เป็นคนอ่านไพ่เป็นคำกลอน เราต้องตั้งใจฟังให้ดีว่าในคำกลอนนั้นเป็นตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นตัวไหน แล้วก็ต้องหาและชิงไพ่ที่กองอยู่บนโต๊ะมาให้ได้

และกิจกรรม เขียนตัวอักษรด้วยพู่กันจีน (Shodou) ฟังดูเหมือนง่าย แต่เขียนให้สวยน่ะยากมาก! เพราะการเขียนคันจิด้วยพู่กัน จะเห็นลำดับเส้นได้ชัดเจนค่ะว่าเขียนผิดเขียนถูก ตรงไหนเป็นเส้นตวัดบ้างหรือปลายปิดบ้าง ซึ่งพอเขียนเสร็จแล้วอาจารย์ก็จะเอาผลงานที่ดีที่สุดของเราไปติดประจาน เอ้ย! ติดโชว์ที่บอร์ดของสถาบัน 

นอกจากนี้ยังมีการเรียนการสอนนอกสถานที่ คือ อาจารย์จะพาเราไปฝึกสนทนาจริงกับคนญี่ปุ่นค่ะ เช่น เรียนเรื่องการถามหาสิ่งของ พอเรียนเสร็จอาจารย์ก็จะพาเราไปร้าน 100 เยนที่อยู่ใกล้ๆ ให้เราได้ลองไปฝึกคุยกับพนักงาน ซึ่งถือว่ามีประโยชน์มากๆ ค่ะ เพราะได้นำสิ่งที่ตัวเองเรียนมาใช้แล้วยังได้ฝึกความกล้าอีกด้วย​

กิจกรรมทำทาโกะยากิร่วมกันระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ สรุปท้องเสียกันเป็นแถบ 5555
อาจารย์ที่นี่ใจดีและเอาใจใส่เด็กทุกคนค่ะ สำหรับคลาสนี้เป็นคลาสที่เปิดระยะสั้นประมาณ 3 อาทิตย์เท่านั้น ในวันสุดท้ายของคลาสพิเศษจะมีกิจกรรมให้เราและเพื่อนๆ ได้เขียนข้อความบรรยายความรู้สึกทั้งหมด หลังจากนั้นก็จะเป็นช่วงสอบของโรงเรียนและปิดเทอมประมาณ 2 อาทิตย์ แต่พวกเราได้สิทธิพิเศษ ไม่ต้องสอบ พอเปิดเทอมมาเราก็กลับเข้าไปเรียนคลาสปกติ ซึ่งได้เลื่อนไปเรียนในระดับที่สูงขึ้น (เพราะไปขอกับอาจารย์ไว้)

เราเลื่อนชั้นจากคลาส A ไปเรียนคลาส B ซึ่งเป็นการเรียนการสอนที่ยากขึ้น โดยอาจารย์จะค่อนข้างเข้มงวด และภายในห้องเรียนจะมีให้โต้วาทีเป็นภาษาญี่ปุ่นกันด้วยค่ะ ตอนนั้นก็พูดได้แบบงูๆ ปลาๆ กันทั้งห้อง แต่ก็ได้คุยดีเบตกับนักเรียนต่างชาติสนุกมาก ไวยากรณ์อะไรไม่จำเป็น เน้นกันที่ภาษามือประกอบ เพื่อนๆ ทุกคนเองก็น่ารักมากค่ะ

ในวันสุดท้าย ตอนท้ายคาบเรียน เราก็ได้ประกาศนียบัตรจากทางโรงเรียนด้วย ซึ่งเป็นหลักฐานว่าเราได้จบหลักสูตรจากที่นี่ พอถึงวันกลับประเทศไทยก็จะมีอาจารย์มารับที่หน้าหอ แต่ครั้งนี้อาจารย์ที่ไปส่งเป็นผู้ชาย เราเลยไม่ต้องแบกหมีพูห์เสินเจิ้นไปเองเหมือนขามา (สวรรค์สุดๆ T^T) โดยเราต้องคืน Pocket WiFi ให้กับทางอาจารย์ และค่าใช้จ่ายการไปสนามบินทั้งหมดอาจารย์เป็นคนจ่ายให้ค่ะ

สำหรับการมาเรียนโรงเรียนสอนภาษาระยะสั้นนี้ ความรู้เราอาจได้ไม่มากตามที่เราประสงค์ไว้เท่าไหร่ แต่สิ่งที่เราได้คือประสบการณ์ต่างๆ ในการใช้ชีวิตต่างแดน รู้จักการปรับตัว เอาตัวรอด และได้รู้จักเพื่อนใหม่ที่เป็นทั้งคนไทยและคนต่างชาติที่หาไม่ได้จากที่ไหน 

สุดท้ายนี้ ถ้าถามว่าคุ้มมั้ยกับเงินที่เสียไป…สำหรับเรา เราไม่เสียดายทั้งเงินและเวลาเลยค่ะ (^_^)


ขอขอบคุณรูปภาพจาก : http://jtis.tokyo/ และ Aun Kanjanasuda 

รูปภาพบางส่วนถ่ายเองโดยเกด (ผู้เขียนบล็อกนี้) ห้ามนำออกไปใช้ต่อก่อนได้รับอนุญาตค่ะ

ขอขอบคุณคลิปวิดีโอจาก : I Love Japan ภาษาญี่ปุ่น เที่ยวญี่ปุ่น