ตามที่ฟางได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการขอทุนรัฐบาลญี่ปุ่น และได้แนะนำมหาวิทยาลัยโตเกียว มหาวิทยาลัยที่ฟางกำลังเรียนอยู่ไปแล้วนั้น มาถึงบล็อกนี้ฟางจะขอเล่าเกี่ยวกับการเรียน และการใช้ชีวิตในโตเกียวของเด็กนักเรียนทุน ใครว่าง่าย!!! ไม่ง่ายเลย ^^
ต่อจากความเดิมตอนที่แล้ว หลังจากที่ขั้นตอนการขอทุนผ่านหมดแล้ว ก็เข้าสู่ขั้นตอนของการเตรียมตัว เตรียมเอกสาร จองหอพัก และเตรียมตังค์ไว้สำหรับใช้จ่ายในช่วงแรก เริ่มกันตั้งแต่การจองหอพักเลยดีกว่า
สำหรับเด็กที่ได้รับทุนรัฐบาลญี่ปุ่นในช่วงปีแรก ทางมหาวิทยาลัยจะบังคับให้พักอยู่ที่หอพักมหาวิทยาลัยเท่านั้นนะคะ ตอนแรกฟางก็ไม่เข้าใจหรอกนะว่าทำไมต้องบังคับด้วยว้า แต่มีที่มาที่ไปค่ะ เดี๋ยวฟางจะพูดในหัวข้อต่อไปนะคะ มาพูดถึงหอพักในมหาวิทยาลัยกันต่อ หอพักมหาวิทยาลัยจะมีราคาถูกกว่าพอพักนอกอยู่นิดหน่อย อย่างในกรณีของฟาง ฟางพักอยู่หอในมหาวิทยาลัยราคาเดือนละ 55,000 เยน ไม่รวมค่าน้ำ ค่าไฟ ห้องพักมีขนาด 15 ตารางเมตร ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในห้องมีเตียง ตู้เสื้อผ้า โต๊ะอ่านหนังสือ ตู้เย็น และห้องน้ำในตัว โดยในแต่ละชั้นจะมีห้องครัว ห้องซักผ้า และห้องนั่งเล่นรวมตามรูปด้านล่างเลยจ้า จะบอกให้ว่าตอนอยู่หอในสนุกมากค่ะ ได้เจอเพื่อนใหม่มาจากหลายประเทศ มีทำกับข้าวทานกันบ้าง จัดปาร์ตี้เล็กๆกันบ้าง ถือเป็นการสร้างสัมพันธไมตรีกับคนอื่นๆ และเป็นการปรับตัวไปในตัว
ขั้นแรกเลยที่ต้องเตรียมเลยคือ ปัจจัย 6 เคยได้ยินแต่ปัจจัย 4 กันใช่มั้ยล่ะ ^^ ด้วยทุกวันนี้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้เราต้องมีสิ่งที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตเราเพิ่มขึ้น ได้แก่ 1.เสื้อผ้า เอาไปแต่พอดี ไว้มาซื้อที่ญี่ปุ่นก็ไม่สาย เพราะที่นี้เวลาลดทีเหมือนได้ฟรี! 2.ยา (ยาแก้ไข้ แก้ปวด แก้แพ้ ฯลฯ) 3.ข้าวสารอาหารแห้ง อยากกินอะไรเตรียมไปให้หมด มาอยู่ญี่ปุ่นไม่มีนะคะ ถ้ามีราคาก็ไม่ธรรมดา 4.ที่อยู่อาศัยหรือหอพัก 5.เป็นปัจจัยที่ขาดไม่ได้จริงจริ๊ง ไม่งั้นเป็นลมชักแน่ๆเพราะไม่ได้คุยกับแฟน ก็คือ โทรศัพท์ ส่วนใครไม่มีแฟนก็โทรหาที่บ้านแทนแล้วกันเนอะ แล้วไปอยู่นู้นใช้เครือข่ายอะไรดีล่ะ เดี๋ยวเล่าในหัวข้อถัดไปจ้า และสุดท้ายปัจจัยที่ 6 เป็นปัจจัยที่ขาดแล้วตายกับการมาอยู่โตเกียว คือ Money หรือ ตังค์ ตัวโตๆ เพราะช่วงที่เราเดินทางมาถึงโตเกียวเป็นช่วงที่เงินทุนยังไม่ออกนะคะ เพราะงั้นเราต้องต้องเงินสำรองไว้ใช้จ่ายส่วนตัวก่อน แล้วเงินทุนจะออกหลังจากที่เรามาถึงญี่ปุ่นประมาณเกือบๆเดือนครึ่งเลยล่ะ เพราะฉะนั้นฟางต้องเตรียมเงินมาประมาณ 150,000 เยน หรือ 45,000 บาท คิดเรตค่าเงินเยนที่ 30 บาทต่อ 100 เยน (ยอดเงินจำนวนนี้ฟางอ้างอิงมาจากส่วนตัวฟางและเพื่อนๆนะคะ) ช่วงแรกๆค่าใช้จ่ายจะค่อนข้างเยอะ เพราะมีค่าเดินทาง ค่าของกิน ค่าของใช้ และอีกมากมาย ถ้าอยากจะประหยัดก็ต้องทำอาหารทานเองค่ะ เป็นส่ิงที่ฟางย้ำอยู่เสมอ ^^ เพราะนอกจากเราจะมีเงินเก็บแล้ว เราจะได้รู้ด้วยว่ากับข้าวที่ตัวเองทำนั้นมัน.....อร่อยที่สุดในโลก รึเปล่า? โดยปกติฟางและเพื่อนๆจะนัดกันทำกับข้าวแล้วมานั่งกินพร้อมๆกัน ถ้าวันไหนมีโอกาสพิเศษหน่อยก็จะอลังการตามรูปด้านล่างค่า ^^
ยุคสมัยนี้หมดกังวลกับการใช้อินเตอร์เน็ตในต่างประเทศแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้มีโปรโมชันเยอะแยะมากมายให้เราเลือกใช้ แต่ที่ฟางใช้เองแล้วมักจะแนะนำให้เพื่อนๆซื้อมาใช้อยู่เสมอเลยก็คือ ซิม Sim2fly ของค่าย AIS (อันนี้ไม่ได้โฆษณานะ ใช้เองจริงๆช่วงสามเดือนแรกที่มาอยู่ญี่ปุ่น แล้วก็สะดวกด้วย) >>คลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติม<< Sim2fly เป็นซิมแบบเติมเงิน หลังจากเติมเงินใส่ไปแล้วก็สมัครใช้โปรโมชันที่เราต้องการ แค่นี้ก็สามารถใช้ได้แล้วค่ะ หาซื้อซิมได้ตาม AIS shop และสนามบิน ฟางเลือกใช้ซิมจากไทยมาก่อน แล้วมาซื้อซิมรายเดือนที่นี่ เพราะการซื้อซิมรายเดือนที่นี่ต้องใช้บัตรเครดิตเท่านั้นถึงจะซื้อได้ และติดสัญญาอีก 1 ปี แถมมีซิมให้เลือกใช้หลายแบบมาก ทั้งแบบใช้อินเตอร์เน็ตได้อย่างเดียว หรือใช้ได้ทั้งโทรและอินเตอร์เน็ต ถ้าอยากได้เครื่องด้วยก็จะคล้ายๆบ้านเรา แต่ที่นี่ติดสัญญาเครือข่าย 2 ปี เดี๋ยวไอโฟน 8 จะออก 12 กันยายนนี้แล้ว ว่าจะชะแว้บไปดูราคาโปรโมชันซะหน่อย ^^
มาพูดถึงเรื่องทุนที่ฟางได้รับกันดีกว่า ทุนรัฐบาลญี่ปุ่นที่ฟางได้รับเป็นค่าครองชีพของเด็กปริญญาเอกจะอยู่ที่ 145,000 เยน ถ้าเรียนอยู่ในโตเกียวทางทุนจะเพิ่มให้อีกคนละ 3,000 เยน รวมเป็น 148,000 เยน หรือประมาณ 44,400 บาท (คิดเรต 30 บาท ต่อ 100 เยน) ดูเหมือนเยอะเนอะ แต่หารู้ไหมว่าเทียบกับค่าครองชีพที่นี่แล้วมันพอดีเป๊ะ! ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการใช้ตังค์ของตัวเองล้วนๆ จริงๆแล้วค่าใช้จ่ายหลักๆที่หนักเลยคือ ค่าหอพักในโตเกียว แพงมากๆ ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 62,000 - 80,000 เยน ><~~~ ใครจะรู้ว่าเด็กนักเรียนในโตเกียวต้องจ่ายค่าหอโหดขนาดนี้ มาดูกันว่าในแต่ละเดือนฟางมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
ค่าใช้จ่ายต่อเดือนของฟางเอง
ถ้าอยากจะประหยัดค่าหอเราก็สามารถเลือกอยู่แบบแชร์ห้องได้นะคะ แชร์ห้องก็คือการอยู่ร่วมกับเพื่อนอีกคน โดยภายในห้องก็จะมี 2 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น และมีห้องครัวให้ อย่างของเพื่อนฟางเองอยู่หอหน้ามหาวิทยาลัยเลยค่าหอประมาณ 90,000 เยน หารสองก็ตกคนละ 45,000 เยน ยังไม่รวมค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอื่นๆนะ บวกลบกับของฟางแล้วก็ต่างกันไม่เยอะ หรืออีกแบบคือ เลือกอยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยหน่อยก็จะได้หอราคาถูกลง แต่ก็มีเรื่องค่าเดินทางเข้ามาด้วย อีกแบบคือ อยู่หอมหาวิทยาลัย อันนี้จะราคาถูกมากราคาประมาณ 35,000 กว่าเยน เป็นคล้ายๆกับหอตอนปีหนึ่งค่ะ แต่เราต้องร่วมทำกิจกรรมของหอพักด้วยนะคะ การเลือกหอพักต้องเลือกที่เราสะดวกที่สุด บางคนต้องเข้าแลปทุกวัน กลับบห้องดึกก็ควรเลือกอยู่ใกล้ๆกับมหาลัยหน่อยเพราะจะได้ไม่ต้องมากังวลเรื่องรถไฟ เนื่องจากรถไฟเที่ยวสุดท้ายที่ญี่ปุ่นจะหมดประมาณ เที่ยงคืนครึ่ง - ตีหนึ่ง แล้วแต่สายรถไฟ
พออยู่หอในเกือบครบ 1 ปี ก็ต้องหาหอนอกอยู่ ตรงนี้แหละที่ยาก เพราะการเช่าหอที่ญี่ปุนไม่เหมือนบ้านเรานะคะ ที่แบบเดินไปติดต่อกับเจ้าของหอเองเลย ที่นี่ต้องติดต่อผ่าน Housing agency ที่พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้เลย เราต้องให้เพื่อนที่สามารถพูดญี่ปุ่น หรือคนญี่ปุ่นช่วยติดต่อให้เรา แล้วค่าแรกเข้าที่ญี่ปุ่นแพงมาก อย่างในกรณีของฟางเอง หอพักที่ฟางเลือกอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย ราคาค่าเช่าเดือนละ 65,000 เยน ดังนั้นค่าแรกเข้าที่ฟางต้องเสียมีตามนี้ค่ะ
ฟางต้องจ่ายค่าแรกเข้าทั้งหมด 226,500 เยน หรือประมาณ 67,950 บาท O"O แพงมากกกก จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องอยู่หอในก่อนในปีแรก นอกจากการสร้างสัมพันธไมตรีแล้วก็คือเก็บตังค์มาจ่ายค่าแรกเข้าหอใหม่นี่เอง
เมื่อพูดถึงนักเรียนทุนโดยเฉพาะปริญญาเอก ในสมัยก่อนหลายๆคนอาจนึกถึงเด็กเรียน ใส่แว่นหนาๆ ชอบเก็บตัว และมักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าโหต้องเป็นผู้คงแก่เรียนแน่ๆเลย (คำๆนี้แม่ชอบพูดบ่อยๆ ^^) แต่จริงๆแล้วหารู้ไหมว่าพวกเราก็เป็นแค่เด็ก (ไม่เด็กแล้วนะ แต่เอาเถอะ) ธรรมดาๆคนหนึ่งที่เรียนบ้าง เล่นบ้าง เที่ยวบ้างตามประสา จันทร์ - ศุกร์ เข้าแลป เสาร์อาทิตย์ก็เที่ยวเล่นปกติ แต่ก็อาจจะมีบางช่วงที่ต้องทำงานทุกวัน มันมีความเครียดความกดดันในตัวอยู่แล้วไม่ว่าเราจะเรียนหรือทำงาน แต่อยู่ที่ว่าเราจะสามารถจัดการกับตารางเวลาชีวิตเราได้ยังไง ในส่วนตัวฟางก็เข้าแลปปกติทุกวัน พอตกเย็นก็ไปออกกำลังกายที่ยิมบ้าง วิ่งรอบๆมหาวิทยาลัยบ้าง ฟางคิดว่าการเรียนก็เหมือนการทำงาน ในเวลางานเราก็เต็มที่ เวลาเล่นเราก็เต็มเช่นกัน การมาเรียนที่ญี่ปุ่นส่ิงที่สำคัญรองจากงานวิจัยของตัวเองนั้นก็คือ การเรียนภาษาญี่ปุ่น เพราะคนที่นี่ไม่ค่อยใช้ภาษาอังกฤษกัน ถ้าเราสามารถพูดได้ก็จะมีประโยชน์ต่อตัวเราเอง แล้วบางแลปอาจารย์จะบังคับให้เราเรียนภาษาญี่ปุ่นอีกด้วย ส่วนแลปฟางอาจารย์ให้ฟางลงเรียนแค่หลักสูตรพื้นฐานที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวัน
ส่วนวิชาอื่นๆก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคณะแต่ละแลปว่าต้องลงทะเบียนเรียนกี่หน่วยกิต คณะที่ฟางเรียนในหลักสูตรปริญญาเอกไม่มี class เรียน ทำงานวิจัยอย่างเดียว เอาจริงๆแค่งานวิจัยที่ต้องทำก็เต็มไม้เต็มมือแล้ว ><! ไหนจะตีพิมพ์งานวิจัยอีก
สำหรับการใช้ชีวิตในโตเกียวช่วงแรกๆอาจจะงงกับสายรถไฟฟ้าเล็กน้อย แต่พอไปสักพักเดี๋ยวก็ชินจนหลับตาเดินได้ ^^ ฟางประทับในเรื่องการเดินทางในโตเกียวมาก สะดวก รวดเร็ว และตรงต่อเวลา ทำให้ฟางไม่ต้องมาหัวร้อนกับเวลานัดหมายของฟาง เราสามารถจัดการเวลาชีวิตได้ดีเลยล่ะ หลังจากเลิกเรียนหรือเสร็จจากงานวิจัยแต่ละคนก็จะมีกิจกรรมยามว่างที่แตกต่างกันออกไปเพราะการได้ทำในสิ่งที่ชอบก็เป็นการพักผ่อนจากงานต่างๆนะคะ เพื่อนฟางบางคนชอบทำอาหาร ทำขนม เป็นชีวิตจิตใจ ส่วนตัวฟางคือการได้ออกกำลังกาย โดยเฉพาะวิ่ง บางครั้งก็ไปยิมบ้าง แต่ส่วนตัวชอบวิ่ง outdoor มากกว่า แก้เครียด 55++ แล้วโตเกียวมีสถานที่น่าวิ่งเยอะมาก เราสามารถวิ่งได้ทุกที่ที่คนไม่เยอะมาก ปกติฟางจะซ้อมวิ่งแถวๆสวนอุเอะโนะบ้าง วันไหนซ้อมไกลก็ไป Sumida River อันนี้แนะนำค่ะ เพราะนอกจากบรรยาศดีวิวก็ดีมาก วิ่งไปมองเห็น Tokyo Sky Tree ด้วยนะ
สำหรับใครสนใจจะมาเรียนที่ประเทศญี่ปุ่นไม่ต้องกลัวเลยว่าจะไม่มีเพื่อนคนไทยนะคะ เพราะที่นี่เรามีสมาคมนักเรียนไทยในประเทศญี่ปุ่นในพระบรมราชูปถัมภ์ (สนทญ.) หรือ Thai Students' Association in Japan under the Royal Patronage (TSAJ) เป็นชุมนุมนักเรียนไทยที่กำลังศึกษาอยู่ในประเทศญี่ปุ่น จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมความสามัคคี และจัดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของนักเรียน นักศึกษาไทยในประเทศญี่ปุ่น และส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ และคนไทยที่พำนักอยู่ในประเทศญี่ปุ่น มีหน้าที่ในการคอยติดต่อประสานงาน และจัดกิจกรรมในหลายๆด้าน ทั้งด้านวิชาการ เช่น การจัดสัมมนาวิชาการ การแนะแนวการศึกษา และการรวบรวมบทคัดย่องานวิจัย ด้านสังคม เช่น การแข่งขันกีฬานักเรียนไทย กิจกรรมสกีนักเรียนไทย กองทุนการศึกษาเพื่อเด็กไทยในชนบท และด้านวัฒนธรรม เช่น งานนิทรรศการไทย งานประเพณีสงกรานต์ และงานลอยกระทง เป็นต้น >> คลิกดูที่นี่<< นอกจากนี้ในแต่ละมหาวิทยาลัยเองก็จะมีกลุ่มของนักเรียนไทยอยู่แล้ว อย่างเช่น ที่โทไดเองก็จะมีกลุ่มเด็กไทยที่จะคอยชวนคอยนัดกันไปทานข้าวบ้าง ไปเที่ยวบ้าง และคอยช่วยเหลือกันเวลาที่ใครกำลังมีปัญหา ฟางเคยเครียดมากเกี่ยวกับงานวิจัยตัวเองจนจะลาออก ก็ได้พี่ๆในโทไดนี้แหละคอยรับฟังพูดคุย และช่วยกันคิดหาทางออก ทำให้เรารู้เลยว่าคนไทยในต่างแดนเราไม่ทิ้งกันนะคะ ^^
การได้มาเรียนต่อในต่างประเทศไม่ว่าจะที่ไหนก็แล้วแต่มันคือโอกาส และประสบการณ์ที่มีคุณค่ามากๆ เราได้พบเจอสิ่งใหม่ๆที่เราไม่เคยเจอ ได้รู้จักผู้คนที่มาจากหลายๆประเทศ ที่แตกต่างกันทั้งภาษาและวัฒนธรรม การใช้ชีวิตคนเดียวในต่างประเทศมันไม่ง่ายถึงแม้จะมีเครื่องมือที่ทันสมัยก็ตาม เพราะความเหงามันฆ่าเราได้จริงๆ เพราะฉะนั้นออกเที่ยวบ้างให้ใจเป็นสุข ^ o ^ เวลาฟางเจอเรื่องอะไรก็แล้วแต่ฟางจะคิดเสมอว่า "ทุกคนและทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรามีทั้งเรื่องที่ดีและร้าย ก็เปรียบเสมือนครูที่คอยขัดเกลาเพื่อให้เราเติบโตขึ้นในวันข้างหน้า" ดังนั้นเราต้องไม่นอยด์เวลาเจอเรื่องร้าย และไม่หลงตัวเองเวลาเจอคำชม เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเรียนทั้งในและต่างประเทศทุกคนค่า
อ่านบล็อกของฟางก่อนหน้าได้ที่นี่ค่ะ >> https://www.facebook.com/WaraSann/
หมายเหตุ รูปทุกรูปที่ถ่ายโดยเจ้าของบล็อก ไม่อนุญาตให้นำไปใช้นะคะ
ขอบคุณรูปสวยๆจาก
I LOVE JAPAN GROUP CO.,LTD
Park Ploenchit
61/7 Sukhumvit 1 Road Khongtoey Nua
Wattana Bangkok, Thailand, 10110
info@ilovejapan.co.th