t ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น

สายสกีห้ามพลาด! ทริปสุดโหดกับสกีรีสอร์ทในจังหวัดนากาโนะ

สายสกีห้ามพลาด! ทริปสุดโหดกับสกีรีสอร์ทในจังหวัดนากาโนะ

By , Thursday, 03 November 2016
ให้ทายว่ามาถึงประเทศที่มีฤดูที่หลากหลายแล้ว กิจกรรมอย่างหนึ่งสำหรับสาวไทยต่างแดนที่อยากทำมากที่สุดคืออะไร? แน่นอนว่าสิ่งนี้คนส่วนใหญ่ก็คงคิดเหมือนๆ กันแน่…คำตอบคือ "หิมะ" นั่นเอง เพราะว่าบ้านเราไม่มีหิมะเหมือนที่ญี่ปุ่น เราจึงตั้งเป้าไว้ว่าถ้ามาอยู่ที่นี่แล้ว ฉันจะต้องได้เล่นหิมะให้ได้! (บอกเลยว่าเรื่องเรียนไม่จริงจังแบบนี้นะคะ -,.-)

สำหรับเรา การเห็นหิมะครั้งแรกก็คงเป็นที่เกาหลีค่ะ ย้อนไปเมื่อสมัย ม.ปลาย ตอนเห็นครั้งแรกนี่ดีใจตีปีกพั่บๆ เหมือนเด็กบ้านนอกเพิ่งเข้ากรุง แต่ตอนนั้นได้แต่ดูอย่างเดียว ไม่มีเวลาเล่นเพราะมากับทัวร์ซึ่งให้เวลาอันน้อยนิด ราวกับว่า เพียงแค่ฝ่าเท้าของบรรดาลูกทัวร์สัมผัสหิมะปุ๊ป คุณไกด์เริ่มจับเวลาทันที ไอ้เรานี่ยังไม่ทันทำอะไรก็ตะโกนเรียกขึ้นรถแล้ว สรุปตรูมาทำอะไรที่นี่!? (=_=;)

แต่ครั้งนี้มันจะไม่ใช่แบบนั้นค่ะ! 
เพราะทริปนี้ของเราไม่พึ่งทัวร์แต่พึ่งตัวเอง! เพราะฉะนั้นเป้าหมายของเราในฤดูหนาวนี้ก็คือไป สกีรีสอร์ท ณ หุบเขาทาคายะมะ นั่นเอง! ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดเราเอาเงินที่ได้จากการทำงานพิเศษมาใช้นี่ล่ะค่ะ

บอกไว้ก่อนว่า หุบเขาทาคายะมะ (Takayama) ที่จะกล่าวถึงนี้ชื่อเหมือนกับเมืองทาคายาม่าที่ตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุ (Gifu) ที่คนไทยรู้จัก แต่!!  หุบเขาทาคายะมะที่ว่านี้ตั้งอยู่ในจังหวัดนากาโนะ (Nagano) ค่ะ โดยที่นี่ยังคงรักษาความเป็นเมืองเก่าเอาไว้ได้อย่างงดงาม นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นที่นิยมมากในช่วงฤดูหนาวค่ะ เพราะบรรดานักท่องเที่ยวต่างเดินทางมาเล่นสกีกัน โดยจุดหมายปลายทางของเราคือสกีรีสอร์ทที่มีชื่อว่า "Red Wood Inn"

สำหรับการเดินทางจากโตเกียว อันดับแรกเลยคือให้ไปที่จังหวัดนากาโนะ (Nakano) ก่อนค่ะ โดยจุดเริ่มต้นเริ่มจาก สถานีชินจูกุ (Shinjuku) นั่ง JR Saikyo Line ไปลงที่ สถานีโอมิยะ (Omiya) จากนั้นก็นั่งชิงคันเซ็นต่อยาวไปถึงจังหวัดนากาโนะ โดยใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที 

ขอบอกว่าวิวข้างทางสวยมากกกก ภาพภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะเป็นอะไรที่ดีมากๆ นี่ก็มองวิวเพลินเลยไม่รู้สึกว่าการเดินทางมันนานเลยสักนิด แต่แค่ค่าเดินทางขาไปอย่างเดียวก็น้ำตาจะไหล…สงสัยกลับหอไปต้องต้มมาม่ากินรัวๆ (T..T)

​เมื่อถึงนากาโนะแล้วก็ออกจากสถานีแล้วจะมีป้ายบอกทางสำหรับทางไปขึ้นรถไฟ Nagano Electric Railway ซึ่งเป็นเหมือนรถไฟท้องถิ่นของจังหวัดค่ะ ให้นั่งรถไฟขบวนนี้นี่ล่ะต่อไปยัง สถานีสึซะกะ (Suzaka) โดยใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที สภาพรถไฟค่อนข้างเก่าแต่ก็ดูเป็นเอกลักษณ์ดี

(ถ่ายจากสถานีนากาโนะช่วงเวลาเที่ยงๆ ค่ะ)

เมื่อถึงสถานีแล้วอย่าคิดว่าถึงแล้วนะคะ ยังค่ะ! เรายังต้องต่อรถบัสอีก ซึ่งให้เราขึ้นบัสที่จอดอยู่หน้าสถานีสายที่เขียนว่า ไป ยามาดะออนเซ็น (Yamada Onsen) ค่าโดยสารประมาณ 800 เยนสามารถใช้บัตร Suica จ่ายได้ ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ ค่ะ แต่รอบข้างปกคลุมไปด้วยหิมะทำให้สวยมากๆ

ขณะที่รถบัสกำลังเคลื่อนตัวนี่ก็เริ่มคิดในใจ…มาถูกที่รึเปล่าวะ? ทำไมมันไกลขนาดนี้ (=_=)

คนขึ้นรถบัสก็น้อยมากแถมทุกคนก็ทยอยลงกันหมด จนเหลือแก๊งต่างด้าว 4 ชีวิตนั่งเอ๋อกันอยู่ในรถบัส ซึ่งรถบัสเองก็ขับขึ้นเขาไปเรื่อยๆ วิวรอบข้างจากบ้านคนเริ่มเปลี่ยนเป็นป่า ที่นี่ที่ไหนฟร้าา!? ถ้าหลงทางนี่กลับไม่ได้เลยนะ ได้กลายเป็นลิงภูเขากันอยู่ที่นี่แน่ (-O-;) 

ด้วยความร้อนใจเลยรีบเข้าเว็บไซต์ของรีสอร์ทเพื่อเปิดแผนที่ แถมเน็ตก็ดีเหลือเกินติดๆ ดับๆ ตลอด

...ช่วยบอกที ว่านี่คือแผนที่ไม่ใช่ลายแทงขุมสมบัติ! ตรูอ่านไม่รู้เรื่อง!! TOT...

เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ไม่ค่อยนิยมในต่างชาติเท่าไหร่ แผนที่เวอร์ชันภาษาอังกฤษจึงไม่มี (T^T)

นี่ก็กลัวคนขับจะเหงาเลยนั่งต่อไปเป็นเพื่อนจนสุดสาย (เปล่าหรอก ความจริงไม่รู้จะลงตรงไหน) ใช้เวลาประมาณ 30 นาที สรุปคือเรามาถูกทางแล้วค่ะ นั่งไปจนป้ายสุดท้ายเลย รถบัสได้จอดอยู่บริเวณชานเขาซึ่งรอบข้างเต็มไปด้วยออนเซ็นและเรียวกังหลายที่

แต่อย่าเพิ่งดีใจไปเพราะยังไม่ถึง! ในที่สุดก็มาถึงการเดินทางขั้นสุดท้าย…เราต้องโทรติดต่อทางรีสอร์ทเพื่อแจ้งว่ามาถึงแล้ว เนื่องจากไม่มีรถสาธารณะวิ่งไปจนถึงยอดเขา ทางรีสอร์ทจึงมีบริการรับ-ส่ง พวกเราก็รอกันสักพักก็มีพนักงานของทางรีสอร์ทขับรถยนต์มารับค่ะ 

ตัวอย่างห้องพักแบบต่างๆ ค่ะ มีทั้งนอนเตียงและนอนฟุตง (ฟูกญี่ปุ่น)

ทันทีที่เห็นรีสอร์ทพวกเราแทบจะบินได้อีกครั้ง กรี๊ดดด มันเลิศมากกกก! รีสอร์ทที่นี่ตกแต่งด้วยไม้ทั้งหลัง ใกล้ๆที่พักจะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น มีซอฟต์ครีมขายด้วย มองไปทางไหนก็เจอแต่หิมะและภูเขาสุดลูกหูลูกตา และนักท่องเที่ยวที่เล่นสกีกันอย่างสนุกสนาน นี่มันในหนังชัดๆ! (*O*)

พอลงมาจากรถนี่รู้สึกหูอื้อมากเลยค่ะ เพราะอยู่บนภูเขาทำให้ความกดอากาศค่อนข้างต่ำ แต่อากาศดีและบริสุทธิ์มากๆ หายใจเข้าไปนี่สดชื่นสุดๆ ว่าแล้วเราก็รีบเข้าไปเช็คอินทันที

สำหรับที่ Red Wood Inn ในแต่ละฤดูก็จะมีกิจกรรมให้ทำแตกต่างกันไป เช่น หากมาฤดูใบไม้ร่วง กิจกรรมช่วงนั้นก็จะเป็นการเก็บผลไม้ เช่น แอปเปิ้ล และราคาในแต่ละฤดูก็จะแตกต่างกันไปด้วย ซึ่งห้องที่เห็นวิวลานสกีจะราคาสูงหน่อย

แต่ที่นี่ แขกที่มาพักไม่มีชาวต่างชาติเลยค่ะ! อาจจะเพราะว่าไกลและเดินทางค่อนข้างลำบาก ส่วนใหญ่จะมากันเป็นครอบครัวและมีรถกันมาเองเสียมากกว่า ขนาดหน้าเว็บไซต์หลักยังเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน ตอนที่เรากับเพื่อนๆไปกินข้าวก็ยังโดนคนญี่ปุ่นทักที่ไม่ใช่คนญี่ปุ่น (สงสัยประหลาดใจทำไมยัยพวกนี้ใช้ภาษาญี่ปุ่นได้กากมาก -.,-)

หลังจากกินจนอิ่มท้องก็ได้เวลาออกลุย! เปลี่ยนชุดเตรียมตัวไปเล่นหิมะค่ะ ชุดพร้อมอย่างดีแต่พอเห็นราคาเช่าอุปกรณ์เล่นสกีแล้วขอบาย…แพง ถ้าจำไม่ผิดก็หลายพันเยนอยู่ค่ะ แต่ตอนนั้นงบหมดจริงๆ 

แถมแก๊งค์คนไทยที่ไปด้วยกันไม่มีใครเคยเล่นสกีกันสักคน สุดท้ายพวกเราเลยมาลงเอยที่กระดานลื่นกันแทน ซึ่งภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า โซริ (Sori)

บ้าจริง ถ่อมาตั้งไกลเพื่อมาเล่นกระดานลื่นเด็กน้อย อยากจะลื่นกลับไปบ้านหิมะที่ดรีมเวิร์ลเหลือเกิน ลื่นไปก็รู้สึกเหมือนมีเพลงพี่เสกคลอตามเบาๆ 'เธอทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตอนสิบสี่ ตอนที่ฉันไปดรีมเวิร์ลครั้งแรก~' ฮือออ (TOT)

...แต่เล่นไปสักพัก เออ ก็สนุกดีแฮะ ตอนไถลลงไปนี่สปีดไล่ควายมาก ล้มกลิ้งกันไปหลายรอบ อ้อ! แนะนำว่าควรพกถุงมือดีๆ ไปก็ดีค่ะ ถุงมือที่ซื้อจากร้านร้อยเยนหรือไดโซะกรุณาเก็บเข้ากระเป๋าเดี๋ยวนี้! ถ้าไม่อยากให้โดนหิมะกัดจนแดงแบบเรา...อยากประหยัดก็งี้ สุดท้ายก็ต้องเสียตังค์ซื้อคู่ใหม่จนได้

ครอบครัวชาวญี่ปุ่นขนาดมาเล่นสกีก็ยังพาน้องหมามาเดินเล่นด้วย น่ารักแถมเชื่องมากๆ (>_<)
หนาวแค่ไหนแทนที่จะกินหม้อไฟ ดันอยากกินซอฟต์ครีมซะงั้น อร่อยมากกก

หลังจากที่เล่นกันให้คุ้มจนถึงตอนเย็นแล้วก็ถึงเวลามื้อเย็น 

สำหรับอาหารที่นี่อร่อยมากค่ะ เชฟน่ากิน เอ้ย! ไม่ใช่ แต่ราคาก็มหาโหดเช่นเดียวกัน ทุกอย่าง 2,000 เยนขึ้นไป ถ้าไม่อยากกินอาหารในที่พัก ก็สามารถไปกินร้านอาหารข้างๆ ได้ค่ะ มีทั้งข้าวและหม้อไฟ หรือถ้าอยากกินของหวานก็มีคาเฟ่อยู่ใกล้ๆ สำหรับตอนกลางคืนบริเวณห้องอาหารจะมีเตาผิงเปิดให้ด้วยค่ะ อารมณ์เหมือนใน Twilight สุดๆ

​แต่ที่เราชอบที่สุด ยกให้นี่เลย…ออนเซ็นกลางแจ้งค่ะ 

สำหรับออนเซ็นที่นี่แบ่งเป็น 2 โซน คือโซนในร่มก็เป็นอ่างธรรมดา แต่ที่พิเศษเลยคือโซนกลางแจ้ง ซึ่งโซนด้านนอกคุณต้องวิ่งแก้ผ้าฝ่าความหนาวอุณหภูมิเลขตัวเดียววิ่งไปลงบ่อ ตอนแรกที่ขาจุ่มลงน้ำ ร้อนแบบวัวตายควายล้มมากแถมกลิ่นกำมะถันก็แรง ต้องรอให้ร่างกายปรับตัวสักพักถึงจะลงไปได้

ขอบอกว่าฟินสุดๆ เพราะดาวสวยมากกกกก ปกติเคยเห็นแต่ในหนังสือการ์ตูน เพิ่งเคยมีประสบการณ์เองจริงๆ ก็ครั้งนี้นี่ล่ะ ไม่ว่าจะอยู่โตเกียวหรืออยู่ที่ไทยก็ไม่เคยเห็นดาวชัดขนาดนี้ แถมเบื่อๆ ยังเอากองหิมะที่อยู่ข้างๆ บ่อมาปั้นเป็นตุ๊กตาหิมะเล่นระหว่างแช่ออนเซ็นได้อีกด้วย โชคดีตอนเราแช่ตอนดึกทำให้ไม่มีคน รู้สึกเหมือนเป็นบ่อส่วนตัว จะเขินก็เรื่องที่ต้องแช่กับผองเพื่อนชะนีไทยด้วยกันเองนี่ล่ะ (-_-;) 

อย่างไรก็ตามการแช่ออนเซ็นแม้จะมีข้อดีแต่ก็ไม่ควรแช่นานเกินไป ไม่งั้นอาจเป็นลมได้เลยนะคะ ข้างๆ บ่อมีเก้าอี้ชมวิวตั้งอยู่ 2 ตัว ซึ่งไม่เข้าใจเหมือนกันจะมีไว้เพื่ออะไร หรือนี่อาจจะเป็นวัฒนธรรมญี่ปุ่น แก้ผ้านั่งดูดาวก็ยังสงสัยอยู่

พอวันกลับทางพนักงานก็ขับรถมาส่งพวกเราเช่นเคยค่ะ แต่ครั้งนี้โชคดีมาก ทางผู้จัดการโรงแรมขับรถมาส่งให้ถึงสถานีสึซะกะเลย เพราะเขาจะเข้าเมืองพอดี เยส! ประหยัดค่ารถไปได้เยอะ (>O<) 

หลังจากนั้นพวกเราก็นั่งรถไฟกลับไปยังนากาโนะโดยวิธีเดียวกับขามาค่ะ แต่ขากลับครั้งนี้เรากลับโดยรถบัส ซึ่งเราจองจากเว็บ Willer Express (https://willerexpress.com/

โดยเว็บนี้มีเมนูภาษาอังกฤษให้ด้วยค่ะ เป็นรถบัสที่วิ่งหลายเส้นทางมากทั้งทางไกลและใกล้ โดยเส้นทางจากนากาโนะไปโตเกียวใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ราคาอยู่ที่ประมาณ 2,000~3,000 เยน สามารถเลือกเส้นทางได้ว่าเราไปขึ้นรถที่ท่ารถตรงไหน และลงตรงจุดไหนของโตเกียว (แต่ต้องอยู่ภายในเส้นทางของรถคันนั้นด้วยนะ)

​ทริปนี้เป็นทริปนี้สนุกมากๆ เพราะเหล่าพนักงานของรีสอร์ทเองก็บริการดีมาก เป็นกันเอง อาหารอร่อยแถมได้เจอหิมะสมใจ เนื่องจากว่าได้พูดคุยกับพนักงานของทางที่พักจึงขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกหน่อย 

มาถึงช่วงเวลาที่เราไปเป็นช่วงฤดูหนาวปลายเดือนธันวาคมค่ะ ถ้าอยากมาเล่นสกีควรมาช่วงเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ แต่ถ้าเป็นช่วงอื่นก็สามารถมาได้แต่กิจกรรมก็จะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล แต่แนะนำว่าฤดูหนาวเหมาะสุดแล้วค่ะ

สำหรับเราถือว่าคุ้มกับเงินที่เสียไปอยู่ แต่ข้อเสียก็ขอหักคะแนนเรื่องการเดินทางนี่ล่ะ เพราะไกล ค่อนข้างลำบาก ถ้าใครที่ไม่มีความรู้ภาษาญี่ปุ่นอาจจะยุ่งยากในการสื่อสารบ้าง แต่ในข้อเสียก็มีข้อดีของมันคือคนไม่เยอะทำให้เราเล่นได้อย่างเต็มที่ 

....ถ้าใครอยากลองสัมผัสบรรยากาศแบบที่เราไปมาก็ขอแนะนำค่ะ...

รับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน (^_^)

ขอขอบคุณรูปภาพจาก : http://www.redwoodinn.jp/

บทความล่าสุด