รู้จักกับหลักสูตรเบกกะ เรียนภาษาในมหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่น

เรียนจบแล้วทำงานอะไรต่อดี?

คำถามนี้คาดว่าเป็นคำถามที่เด็กจบใหม่หลายๆคนโดนมาอย่างแน่นอน และแน่นอนว่าหลายคนก็มีทางเลือกเป็นของตัวเองไม่ว่าจะเป็นการหางาน เตรียมตัวสอบ TOEIC บางคนอาจยังล่องลอยไม่รู้จุดหมาย หรือบางคนเลือกไปเรียนต่อ…ซึ่งเราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เลือกไปเรียนต่อค่ะ แต่จะต่อที่ไหนได้ล่ะ? ในเมื่อจบเอกญี่ปุ่น จะให้ไปเรียนต่อเกาหลีก็ใช่เรื่อง ไหนๆก็เรียนมาจนจบแล้ว ไม่อยากทิ้งความรู้ที่เรียนก็เลยเลือกไปเรียนที่ญี่ปุ่นค่ะ

ก่อนอื่นเลยต้องบอกก่อนว่าเราเพิ่งจะเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นตอนมหาวิทยาลัย (เห็นงี้สมัยมัธยมเรียนสายวิทย์นะแกกก) พอช่วง ม.5-ม.6 เริ่มเห็นลางแล้วว่าไปต่อสายวิทย์ไม่รอดแน่ ความฝันที่จะได้เรียนหมงเรียนหมออะไรกับเค้าตัดทิ้งไปได้เลย เพราะเกรดวิชาเคมี ชีวะ คณิตศาสตร์ มันเตี้ยติดดินมาก (-_-)

สุดท้ายพอถึงเวลาเข้ามหาวิทยาลัยเลยเลือกเรียนด้านภาษาแทน ตอนนั้นอะไรดลใจให้เลือกภาษาญี่ปุ่นก็ไม่รู้ แล้วก็ติดเข้าไปเรียนแบบงงๆ ช่วงแรกเป็นอะไรที่ลำบากมากเพราะต้องเรียนกับคนที่มีพื้นฐานตอนม.ปลายมาแล้ว ส่วนเราแค่ฮิรางานะคาตาคานะยังเขียนไม่คล่องเลย ตอนนั้นคิดในใจ ตายแน่ตรูววว!

แต่ในเมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องพยายามค่ะ! ช่วงแรกขยันมากเพราะอยากเรียนรู้เรื่อง ขยันจนโดนเพื่อนแซว 5555 พอเริ่มมีพื้นฐานมาประมาณหนึ่งก็ตัดสินใจไปแลกเปลี่ยนที่โตเกียว แล้วก็ฝ่าฟันจนจบมาได้แบบสวยๆ (เหรอ?)

แต่ก็อย่างที่บอก เรียนภาษาญี่ปุ่นมาแค่ 4 ปี สำหรับเรายังรู้สึกว่าความรู้มันยังไม่พอ เลยตัดสินใจเลือกไปเรียนภาษาต่อ เพราะอยากเก่งมากกว่านี้ บวกกับยังอยากกลับไปอยู่ญี่ปุ่นด้วย 5555

หลังจากตัดสินใจได้แล้วก็มาถึงตัวเลือกต่อไปแล้วว่า เราจะเรียนที่ไหนดี? อันดับแรกเลยเราเลือกโตเกียวค่ะ แม้ว่าที่นี่ค่าครองชีพจะค่อนข้างแพงและวุ่นวาย แต่เพราะว่าเคยอยู่ที่นี่มาก่อนทำให้ค่อนข้างคุ้นเคยกับสถานที่เส้นทาง แถมคนรู้จักหรือเพื่อนๆทั้งคนญี่ปุ่นคนต่างชาติก็อยู่โตเกียวกันหมดเลย เราเลยรู้สึกว่าไม่ต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ศูนย์

ทีนี้อันดับต่อไปก็คือ การเลือกสถานที่เรียน เราขอแบ่งเป็น 2 ประเภท เรียนในโรงเรียนสอนภาษา กับ เรียนในมหาวิทยาลัย ซึ่งเราเลือกเรียนในมหาวิทยาลัย เพราะเราเคยมีประสบการณ์เรียนในโรงเรียนสอนภาษาระยะสั้นมาก่อนแล้วรู้สึกไม่ค่อยถูกโฉลกกับสภาพแวดล้อมเท่าไหร่ อย่างที่บอกว่าเป็นโรงเรียนสอนภาษา คนรอบข้างยกเว้นอาจารย์จึงมักจะเป็นแต่ชาวต่างชาติด้วยกัน 

แต่จากประสบการณ์แลกเปลี่ยนที่ผ่านมา การเรียนในมหาวิทยาลัยทำให้เรายังได้มีโอกาสคลุกคลีกับนักเรียนญี่ปุ่นบ้าง บวกกับสภาพแวดล้อมในมหาวิทยาลัยทำให้เราไม่ได้รู้สึกว่าแค่มาเรียนแล้วกลับไปเฉยๆ ขอย้ำว่า ไม่ได้หมายความว่าโรงเรียนสอนภาษาไม่ดี แต่นี่เป็นเพียง ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน

การเรียนภาษาญี่ปุ่นในมหาวิทยาลัย หรือที่มักเรียกกันว่า หลักสูตรเบกกะ (Bekka) เป็นหลักสูตรเพื่อเตรียมศึกษาต่อของมหาวิทยาลัย  หลักสูตรนี้มีอยู่ในมหาวิทยาลัยเอกชนหรือรัฐบาลบางแห่ง โดยจะสอนวิชาภาษาญี่ปุ่น วัฒนธรรม และความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับญี่ปุ่น กรณีที่ต้องการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย สามารถเข้าเรียนหลักสูตรนี้ เพื่อเป็นหนทางเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยนั้นๆได้ง่ายขึ้น (หรือหากต้องการศึกษาต่อที่สถาบันอื่นหลังจากเรียนจบก็สามารถทำได้เช่นกัน)

สำหรับนักเรียนต่างชาติที่ไม่มีพื้นฐานญี่ปุ่นมาก่อนแต่ได้ทุนมาเรียนในญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น ป.ตรีหรือโทก็มักจะต้องมาเรียนหลักสูตรนี้เพื่อเตรียมตัวก่อนเช่นกัน 

ระยะเวลาส่วนใหญ่เป็น 1 ปี (บางที่ก็มี 6 เดือน / 1 ปีครึ่ง) โดยจะเปิดรับแค่ 2 ช่วงคือ เทอมฤดูใบไม้ผลิ (เมษายน) และ ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน) โดยส่วนใหญ่ระบบการเรียนจะเรียนแบบเก็บหน่วยกิตเหมือนเป็นนักศึกษาทั่วไป มีบัตรประจำตัวนักศึกษา นอกจากนี้ยังสามารถใช้สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่างๆของมหาวิทยาลัยได้อีกด้วย เรียกง่ายๆก็คือเหมือนเราเป็นนักศึกษาคนหนึ่งของเค้าเลยค่ะ ที่สำคัญ! ข้อจำกัดของการเรียนเบกกะ คือ ส่วนใหญ่จะ รับนักเรียนที่มีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นมาก่อน (ขั้นต่ำประมาณ N4)

และไม่ใช่ว่าสมัครแล้วจะได้เรียนทุกคนนะ การเรียนเบกกะมี ระบบการคัดเลือกนักเรียน คล้ายๆการสอบเข้า แต่จะคัดเลือกอย่างไรอันนี้แล้วแต่ระเบียบการของมหาวิทยาลัยนั้น บางมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงก็มีการแข่งขันค่อนข้างสูง บางที่ก็อาจต้องใช้เอกสารเยอะและยุ่งยากมาก อย่างเช่น มหาวิทยาลัยที่เราสมัครไป ประกาศรับ 90 คนต่อเทอม แต่พอประกาศรายชื่อจริงๆโดนคัดออกเหลือแค่ 75 คนเท่านั้น จากผู้สมัครหลายร้อยคน โชคดีมากที่เป็นผู้รอดชีวิตไม่โดนคัดออก (T_T)

มหาวิทยาลัยที่เปิดหลักสูตรเบกกะและมีเอเจนซีในไทย เช่น มหาวิทยาลัยวาเซดะ โอซาก้า โตไก และอื่นๆยังมีอยู่ไม่มาก ทำให้ใครที่สนใจเรียนต่อด้านนี้ต้องดิ้นรนติดต่อและติดตามข่าวสารรับสมัครของมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง เรียกได้ว่า จะเรียนเบกกะค่อนข้างวุ่นวายกว่าเรียนโรงเรียนสอนภาษาที่ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก เพราะมีเอเจนซีหลายแห่งคอยช่วยเหลืออยู่ อย่างตอนเราสมัคร เราก็เป็นคนดีลเอกสารกับทางญี่ปุ่นเองหมดเลย เหนื่อยมากๆ

ดังนั้น การจะเรียนต่อเบกกะควรศึกษาข้อมูลและอ่านระเบียบการของมหาวิทยาลัยนั้นให้ละเอียดก่อนนะคะ

การที่ได้เรียนในมหาวิทยาลัย เรายังได้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆกับเพื่อนชาวญี่ปุ่นและต่างชาติอีกด้วยค่ะ (^O^)

​เบกกะเป็นหนึ่งทางเลือก สำหรับใครที่สนใจไปเรียนภาษาต่อที่ญี่ปุ่นโดยไปเรียนในมหาวิทยาลัย รับรองว่าคุณจะได้เจอกับประสบการณ์ใหม่ๆที่สนุกและไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน และสุดท้ายนี้ เราเองก็เป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตที่จะเข้าหลักสูตรเบกกะนี้ ใครที่มีคำถามเพิ่มเติม ชีวิตการเรียน การใช้ชีวิตอยู่ญี่ปุ่น หรือสนใจอยากอ่านเรื่องราวอื่นๆที่เราเคยเขียนย้อนหลัง สามารถเข้าไปดูได้ในเพจรวมบล็อกของเรา PAGE :  https://www.facebook.com/rumraisinblogger/ 

​ขอขอบคุณรูปภาพประกอบเนื้อหาจาก...

  • http://dot.asahi.com/aera/2015012800078.html 
  • http://dot.asahi.com/S2000/upload/2015012800078_1.jpg 
  • http://www.travelandleisure.com/travel-tips/offbeat/mud-bar-tokyo 
  • http://toodamnyoung.com/2014/05/30/graduating-and-missing-a-loved-one/

ติดตามรับข่าวสารเกี่ยวกับญี่ปุ่น

YouTube: www.youtube.com/ilovejapanth/

Facebook: www.facebook.com/ILoveJapan.th/

Twitter: https://twitter.com/ILOVEJAPANTH

Instagram: www.instagram.com/ilovejapanth/

TikTok: https://www.tiktok.com/@ilovejapanth

ทดลองเรียนภาษาญี่ปุ่นออนไลน์ฟรี 3 วันได้ที่ www.ilovejapanschool.com