l ชีวิตในญี่ปุ่น

แชร์ประสบการณ์หาหมอผิวหนังที่ญี่ปุ่น

แชร์ประสบการณ์หาหมอผิวหนังที่ญี่ปุ่น

By , Sunday, 03 November 2019

 สวัสดีค่ะ afternoonsilent ค่า วันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์หาหมอผิวหนังที่ญี่ปุ่นให้เพื่อนๆอ่านค่ะ

เรามั่นใจว่าเพื่อนๆ โดยเฉพาะสาวๆที่อยู่ในญี่ปุ่นไม่น้อยน่าจะเคยมีปัญหาเรื่องผิวหนัง 

ไม่ว่าจะแพ้โน่นนี่รวมถึงปัญหาโลกแตกอย่างเรื่อง สิว!!

ส่วนตัวเรานั้นช่วงที่มาญี่ปุ่นครึ่งปีแรก เป็นช่วงที่สิวขึ้นหนักมากค่ะ T_T
และไม่ใช่แค่เรา แต่เพื่อนๆชาวต่างชาติที่มาญี่ปุ่นใหม่ๆหลายคนก็มีปัญหา
เรื่องสิวขึ้นทั้งที่บริเวณใบหน้าและหลังกันเยอะมาก


สมัยนั้นเรามาญี่ปุ่นใหม่ๆอยู่โรงเรียนภาษา ภาษาญี่ปุ่นก็ยังพูดไม่ค่อยได้ค่ะ สิวขึ้นเยอะมากๆ เราไม่รู้จะทำยังไงก็ซื้อยามาทาเอง ไอ้วิตามินอะไรที่เค้าว่าดี ก็ซื้อมาลองหมด ผลก็คือ หน้าเป็นหนักขึ้น..หนักขึ้น แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงจนกระทั่งคนดูแลหอพักที่เราอยู่ทนไม่ไหว เค้าพาเราไปหาหมอผิวหนังเลยค่ะ..... และจากเหตุการณ์วันนั้นก็คือครั้งแรกที่เราได้ไปหาหมอผิวหนังที่ญี่ปุ่น​

เครดิตภาพจาก http://www.photo-ac.com/


สำหรับหมอผิวหนังที่ญี่ปุ่นนั้น จะแบ่งเป็นสองประเภท ได้แก่

美容皮膚科(Biyō pibuka): จะเป็นแนวผิวหนังแบบเน้นความงาม มีเลเซอร์ มีกดสิว มีทรีทเม้นท์ผิว ฉีดฟิลเลอร์ ฉีดโบท็อกซ์ ลดน้ำหนักปลูกผม กำจัดขนถาวร และอื่นๆอีกมากมาย ถ้าเทียบกับที่ประเทศไทยเราก็ประมาณ พรเกษม ราชเทวี วุฒิศักดิ์ นิติพล ฯลฯ คลีนิคแนวนี้เป็นแนวความงามซึ่งจะมีราคาแพงและใช้ประกันสุขภาพไม่ได้

皮膚科Hifuka): เป็นคลีนิคผิวหนังที่เป็นแนวรักษาโรคผิวหนังแบบจริงจังไม่เน้นความงาม เช่น ผื่นแดง แผลพุพอง ผิวแตกแพ้ ลมพิษ กลาก เกลื้อน เล็บขบ รวมถึงสิว และกระฝ้า อะไรนี้พวกด้วย แต่จะไม่มีกดสิว หรือทรีทเม้นท์ความงามอะไร คลีนิคแนวนี้จะใช้ประกันสุขภาพได้ ค่ารักษาจะถูกกว่ากันมาก เราเคยรักษาสิวเสียค่าใช้จ่ายค่าหมอและค่ายาประมาณครั้งละ 2,000-3,000 กว่าเยนเท่านั้นเองค่ะได้ทั้งยาทา ยากิน ถ้าเพื่อนๆมาอยู่ญี่ปุ่นแล้วเป็นสิว ก็แนะนำให้มาหา 皮膚科 (Hifuka) ดีกว่าค่ะ อย่าไปซื้อยาทาหรือทานเองเลยนะค่ะ


เครดิตภาพจาก http://www.photo-ac.com/
สำหรับประสบการณ์ในการหา 皮膚科 (Hifuka) ของเรานั้นส่วนมากก็จะเป็นเรื่องสิวค่ะ 
นอกจากนี้ก็มีเข้ามารักษาปากนกกระจอก และก็มีอีสุกอีใสค่ะ ยารักษาอีสุกอีใสของที่ญี่ปุ่นจะแพงนิดนึง
ใช้ประกันลดแล้วก็ยัง 10,000 กว่าเยน แต่ขอบอกว่ายาดีมากนะคะ "อาทิตย์เดียวหาย" รอยแผลเป็นก็ไม่เหลือเลย

สำหรับเพื่อนๆที่อยากหา 皮膚科 นั้นเอาจริงๆ เราคิดว่าที่ไหนก็ไม่ค่อยต่างกันน่ะค่ะ 
เพราะตัวเราเน้นสะดวกความสะดวกในการไปล้วนๆ ย้ายบ้านทีก็เปลี่ยนคลีนิคที 
ตัวยาที่ได้และราคาก็คล้ายๆกันตลอด ในกรณีที่เป็นสิว หมอที่ญี่ปุ่นจะจ่ายยาทาเป็น Differin ค่ะ ไปหากี่หมอก็ได้ยาตัวนี้มาทุกครั้งเลย


ล่าสุดเรามีปัญหาเรื่องฝ้าและกระค่ะ คราวนี้เราไปปรึกษาคลีนิคผิวหนังทั้งสองแบบเลย 
เริ่มแรกเราไปปรีกษาที่ 美容皮膚科 (Biyō pibuka) ก่อน เพราะคิดว่าอยากจะเลเซอร์แบบครั้งเดียวจบ 
หรือถ้ามีครีมอะไรที่ดีๆเราก็อยากได้น่ะค่ะ และนอกจากเรื่องกระ เราก็อยากปรีกษาเรื่องริ้วรอยต่างๆบนใบหน้าด้วย (ก็ตอนนี้เราเป็นผู้หญิงเข้าวัยเลข 3 แล้วอ่ะเนอะ ฮืออออ) 

ซึ่งต้องบอกเลยว่าที่ญี่ปุ่นเค้าไม่เน้นขายคอร์สเลยค่ะ คุณหมอจริงใจมากๆ คุณหมอบอกว่ากระของเรา
ไม่ควรทำเลเซอร์แบบครั้งเดียวจบ และแนะนำพวกคอร์สเลเซอร์ทรีทเม้นท์มา แต่ก็บอกอีกว่าแต่ต่อให้ทำก็คงไม่หายขาดอาจจะแค่ดีขึ้นและกลับมาใหม่ อธิบายเยอะอยู่และให้เราตัดสินใจเองค่ะ เลเซอร์หรือทรีทเม้นท์บางตัวต่อให้เราอยากทำ แต่คุณหมอไม่แนะนำก็ทำไม่ได้ค่ะ ค่อนข้างปลอดภัยพอสมควรเลย สำหรับเรื่องริ้วรอยคุณหมอก็บอกตรงๆว่าของเรายังไม่ต้องฉีดอะไร และก็แนะนำเลเซอร์ทรีทเม้นท์มา จากนั้นทางคลินิคก็ตีราคามาว่าที่เราจะทำๆนั้นเป็นราคาเท่าไหร่ โดยที่ครั้งแรกที่เราไปปรึกษานั้นไม่เสียค่าใช้จ่ายค่ะ 
แต่ถ้าอยากจะทำทรีทเม้นท์ที่คุณหมอแนะนำก็ให้เอาใบตีราคา มาติดต่อทางคลีนิคและนัดวันเข้ามาทำอีกทีภายใน1เดือน ไม่มีฮาร์ดเซลล์หรือกดดันใดๆทั้งสิ้น ประทับใจมากๆบอกเลย ^__^

จากนั้นเราก็ไป 皮膚科 (Hifuka) ด้วยเรื่องกระอีกรอบเพราะคิดว่าทำทรีทเม้นท์น่าจะไม่คุ้ม 
ทาง 皮膚科 (Hifuka) นั้นก็มีเลเซอร์ (น่าจะเป็น Yag Laser) ซึ่งแน่นอนว่าใช้ประกันสุขภาพลดราคาได้ 
พอไปปรึกษาคุณหมอบอกเหมือนกันเลยว่าไม่แนะนำให้ทำเลเซอร์ เพราะกระและฝ้ามันเกิดจากฮอร์โมนของเราเอง คุณหมอก็จัดยาพวกวิตามินมาให้กินแทน แค่ไม่ให้ยาทามาด้วยค่ะ คุณหมอบอกว่าลองกินยาดูก่อนสักสามเดือน ถ้าไม่ดีขึ้นค่อยทายา ถ้าทาแล้วยังไม่ดีก็ค่อยคิดถึงเรื่องเลเซอร์ เฮ้อ! การรักษากระช่างยาวนานเสียจริง............. 
ค่ารักษาและค่ายารวมทั้งหมด 2,000 เยนพอดีค่ะ

ถ้าตอบแบบให้ฟันธงนะคะ เราขอสรุปว่า
เพื่อนๆที่เงินหนาและอยากรีบหายไวๆก็แนะนำให้ไปหา 美容皮膚科 (Biyō pibuka)​ ค่ะ 
แต่เพื่อนที่รอได้และอยากใช้ประกันสุขภาพให้คุ้มค่าก็หา 皮膚科 (Hifuka)​ ค่า

สำหรับคลีนิค 美容皮膚科 (Biyō Hifuka) ที่เราใช้บริการบ่อยๆและคิดว่าบริการดีก็ที่
shonan beauty clinic ค่ะ
เว็บไซต์ของคลีนิค https://www.sbc-skincare.com คลินิคมีสาขาทั่วประเทศค่ะ
แนะนำว่าก่อนไปควรจองเวลาผ่านเว็บไซต์หรือโทรไปนัดก่อนให้เรียบร้อยค่ะ (นัดแล้วต้องไปถึงก่อนเวลาด้วยนะคะ)

สำหรับ 皮膚科 (Hifuka)​ ก็อย่างที่บอกไปในข้างต้น กดในgoogle map และหาเอาที่ใกล้บ้าน เดินทางสะดวกเอาเลยค่ะ​ และส่วนมากต้องไปต่อคิวรอค่ะ (จองไม่ได้)

สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการหาหมอผิวหนังที่ญี่ปุ่นทั้งสองแบบนั้นก็คือภาษาญี่ปุ่นค่ะ 
เพราะตอนเข้าคลีนิคครั้งแรกเราต้องกรอกเอกสารยาวๆ และอธิบายอาการตัวเองได้ เพื่อนๆ
ที่ยังภาษาไม่แข็ง แนะนำให้พาเพื่อนที่รู้ภาษาญี่ปุ่นไปด้วยค่ะ เอกสารประมาณในภาพเลย

บางแห่งก็มีสองสามหน้าเลยค่ะ​ ดังนั้น การพาเพื่อนที่ชำนาญภาษาญี่ปุ่นไปด้วยจะช่วยเราในจุดนี้ได้มากค่ะ

เป็นยังไงบ้างคะสำหรับบล็อกนี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆที่อยู่ในญี่ปุ่น

ไม่มากก็น้อยนะคะ


ขอบคุณภาพประกอบจาก


Fan Page Afternoon_silent

ขอบคุณภาพประกอบจาก 

http://www.photo-ac.com/