l ชีวิตในญี่ปุ่น

อะรุไบโตะ…ประสบการณ์ที่ไม่มีใครแทบไม่รู้จัก

อะรุไบโตะ…ประสบการณ์ที่ไม่มีใครแทบไม่รู้จัก

By , Tuesday, 31 May 2016
ถ้าพูดถึงชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยนในญี่ปุ่นแล้ว คงไม่มีใครแทบไม่รู้จักคำว่า "อะรุไบโตะ" (アルバイト) หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกกันสั้นๆ ว่า "ไบโตะ" แต่หลายคงอาจสงสัยว่าไบโตะหรือทำไบต์คืออะไร คำว่าอะรุไบโตะ เดิมมาจากภาษาเยอรมันคำว่า "Arbeit" ซึ่งคนญี่ปุ่นได้ใช้ทับศัพท์ในความหมายว่า "งานพิเศษ" หรืองานพาร์ทไทม์นั่นเอง

ในประเทศญี่ปุ่น นักเรียนส่วนใหญ่ล้วนแต่ผ่านการทำงานพิเศษมาแล้วทั้งสิ้น ทั้งเด็กมัธยมและเด็กมหาวิทยาลัย ซึ่งงานต่างๆ ก็มีหลากหลายให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นงานแคชเชียร์ งานประชาสัมพันธ์ งานร้านอาหาร และอื่นๆ อีกมากมาย รวมไปถึงเวลาที่เราไปสถานที่ท่องเที่ยวแล้วมักเจอวัยรุ่นหนุ่มๆ ยืนแจกทิชชู่อยู่นั่นก็ถือเป็นงานพิเศษเช่นเดียวกัน โดยค่าแรงเฉลี่ยถ้าในแถบโตเกียวจะอยู่ที่ชั่วโมงละประมาณ 900 เยนขึ้นไป ถ้าเทียบเป็นเงินไทยก็อยู่ที่ประมาณ 300 กว่าบาทต่อชั่วโมง ยิ่งถ้าเป็นช่วงเวลาดึกก็จะได้ค่าแรงต่อชั่วโมงมากขึ้น แถมบางที่มีออกค่าเดินทางให้อีกด้วย

ค่านิยมของคนญี่ปุ่น การทำงานพิเศษถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากค่ะ เวลาเรียนจบไปสัมภาษณ์งานหลายที่มักจะถามถึงประสบการณ์ทำงานพิเศษมาก่อน เค้าไม่มองว่าคนทำงานคือคนจน แต่เค้าจะมองว่าคนที่ผ่านการทำงานคือคนที่มีความอดทนและเข้มแข็ง สามารถหาเงินให้ตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพ่อแม่ ซึ่งเราชอบค่านิยมตรงส่วนนี้มาก ที่สำคัญลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ค่อยใครดูถูกพนักงานค่ะ (แหม ก็บริการทั้งดีทั้งสุภาพมากขนาดนั้น) นอกจากนี้เพื่อนๆ คนญี่ปุ่นที่เรารู้จักทุกคนต่างก็ทำงานพิเศษกันหมด แต่ทว่าในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น การหางานอะรุไบโตะไม่ได้ยากอย่างที่คิด…แต่มันยากยิ่งกว่าที่คิดไว้ซะอีก!!

ก่อนที่จะเริ่มหางานพิเศษ อันดับแรกเลยคือเราต้องมีใบอนุญาตให้ทำงานได้เสียก่อน ซึ่งเราได้ไปทำเรื่องขออนุญาตต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ใบอนุญาตจะเป็นตราปั๊มให้สามารถทำงานพิเศษได้ไม่เกิน 28 ชั่วโมงต่อสัปดาห์อยู่ด้านหลังบัตรไซริวการ์ดหรือเรียกอีกอย่างว่าบัตรต่างด้าวค่ะ

เมื่อมีใบอนุญาตแล้ว ขั้นตอนต่อไปเลยคือเริ่มงานพิเศษ ว่าแต่เราจะหาจากไหนดีล่ะ? เวลาเราเดินผ่านสถานีหรือซูเปอร์มักจะหนังสือหางานตั้งอยู่ เช่น หนังสือ Town Work ซึ่งเราสามารถไปหยิบได้ฟรี โดยภายในหนังสือเล่มนั้นจะมีรายละเอียดงานพิเศษหลายประเภทให้เราเลือก หรือดูได้จากเว็บไซต์ต่างๆ เช่น baitoru.com, townwork.net เป็นต้น เมื่อเจองานที่ถูกใจแล้วเราสามารถติดต่อโดยโทรไปสอบถาม หรือส่งเรซูเม่ผ่านเว็บไซต์แล้วรอให้ฝ่ายนั้นตอบกลับก็ได้ อีกสิ่งหนึ่งที่ห้ามลืมคือเราต้องมีใบสมัครหรือที่เรียกกันว่า "ริเร็กคิโชะ" ซึ่งมักใช้ยื่นเวลาไปสัมภาษณ์ โดยสามารถหาซื้อได้ที่ร้าน 100 เยนไม่ก็ไดโซะค่ะ 

หลายคนอาจสงสัยว่างานพิเศษมันหายากขนาดนั้นเลยเหรอ? ซึ่งงานส่วนใหญ่ที่เป็นที่นิยมของคนไทยแน่นอนว่าต้องเป็นร้านอาหารไทย แต่ด้วยความที่ตอนแรกตัวเองมั่น (หน้า) สุดๆ ไม่สนใจสกิลภาษาญี่ปุ่นระดับเด็กประถมของตัวเองเลย เพราะอยากทำงานกับคนญี่ปุ่น อยากฝึกภาษา เราจึงตัดร้านอาหารออกไปเป็นอันดับแรก และมองหาร้านพวกแนวคาเฟ่น่ารักๆ แทน เล่นของสูงไปอีกกก (=O=)

จำได้ว่าร้านที่ถูกเรียกไปสัมภาษณ์ครั้งแรกคือร้านน้ำแข็งใสย่านฮาราจูกุค่ะ เป็นร้านน้ำแข็งใสสไตล์บิงซูแบบเกาหลี เราเลือกสมัครทางเว็บไซต์ไปเพราะตอนนั้นยังกลัวการคุยโทรศัพท์กับคนญี่ปุ่นอยู่ สาเหตุที่เลือกร้านนี้เพราะว่า "ร้านสวย" อารมณ์เหมือนทำงาน Coffee Prince อะไรแบบนี้ (ดูพลังมโนของมัน -..-)

ตอนนั้นตื่นเต้นมากๆ เตรียมบทพูดไปอย่างดี เผื่อเวลาโดนเทนโจ (ผู้จัดการร้าน) ถามได้ตอบอย่างมั่นใจ ใช้รอยยิ้มคนไทยเป็นไม้ตาย เราพยายามหาข้อดีของตัวเองมาพรีเซนต์เต็มที่ แต่พอถึงเวลาจริงผิดแผนค่ะ!! เจอหน้าเทนโจแล้วตื่นเต้นจนลืมบทหมดเลย (T^T) แถมเทนโจไม่แม้แต่จะเปิดโอกาสให้พูดเลยค่ะ นั่งฟังเทนโจอธิบายรายละเอียดการทำงานประมาณ 15 นาที ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง และปิดท้ายด้วยคำว่า "เดี๋ยวจะติดต่อกลับ"

พอได้ยินอย่างนั้นเราก็ตั้งตารอสิคะ สรุปคือผ่านไป 1 อาทิตย์ ไม่มีแม้แต่สัญญาณตอบรับจากเลขหมายปลายทาง โทรศัพท์ของเราเงียบกริบค่ะ ซึ่งในญี่ปุ่นการที่หายไปแบบนี้ถือเป็นสัญญาณว่าเค้าได้ปฏิเสธคุณแล้วนั่นเอง ดิฉันก็ต้องกินแห้วไปตามระเบียบ

เรายังคงหางานพิเศษต่อไปเรื่อยๆ เหมือนตอนนั้นทำอาชีพเสริมคือสมัครงาน เราส่งใบสมัครไปหลายที่มาก ซึ่งช่วงที่เราหางานเป็นช่วงปิดเทอมพอดีทำให้การแข่งขันค่อนข้างสูง เพราะเป็นช่วงที่เด็กญี่ปุ่นเองก็หางานเช่นเดียวกัน ไหนจะต้องแย่งงานกับนักเรียนต่างชาติคนอื่นอีก ด้วยความที่เราเป็นชาวต่างชาติ แถมภาษาก็ยังไม่แข็งแรงระดับพอที่จะสู้กับเจ้าของภาษาได้ทำให้โอกาสได้งานแทบจะไม่ถึงครึ่ง...แต่มีหรือที่คนอย่างยัยนี่จะยอมแพ้!! ในเมื่อร้านแรกไม่ได้ก็ต้องลองดูร้านต่อไป มันต้องได้ซักที่สิฟะ!

หลังจากที่ได้ผ่านการสัมภาษณ์มาหลายร้าน และโดนปฏิเสธมาหลายครั้งจนเจ็บและชินไปเอง แต่ก็ทำให้หน้าของเรามีปูนซีเมนต์ฉาบหนาขึ้น มาสิ! ปฏิเสธมาเล้ยยย! แถมคำถามก็เดิมๆ จนพอจับใจความบทสนทาคร่าวๆ ได้ ว่าแต่ละที่มักจะถามคำถามเหมือนๆ กันคือ "เคยมีประสบการณ์การทำงานมาก่อนหรือไม่" หรืออาจจะเป็น "ทำงานได้ถึงเมื่อไหร่" เรามักจะตกม้าตายโดนปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าสามารถทำงานได้แค่ระยะสั้น ประมาณ 3-4 เดือนเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่ร้านที่เราไปสัมภาษณ์ต้องการคนที่ทำงานได้ระยะยาวค่ะ แล้วเอ็งจะประกาศรับระยะสั้นทำไมฟร้าาา!!

พอหางานมาหลายอาทิตย์ก็ยังไม่ได้งานซะที เราก็เริ่มท้อจนท้ายที่สุดก็หันมาหางานร้านอาหารไทยแทน เพราะเราคิดว่าเราเป็นคนไทยทำให้อาจมีโอกาสได้เปรียบมากกว่า (มโนเข้าข้างตัวเองสุดๆ) โชคดีมีร้านอาหารไทยเปิดรับสมัครพาร์ทไทม์อยู่ สไตล์ร้านก็สวยอินดี้ๆ ป่าๆ (?) ออกแนวคล้ายๆ อิซากะยะนิดหน่อย นอกจากอาหารไทยแล้วก็มีอาหารของชาติอื่นผสมมานิดหน่อย เช่น อาหารอินโดนีเซีย เวียดนาม โอกินาว่า เฮ้ย! มันเก๋เวอร์อ่ะแกกก! 

ร้านอาหารไทยก็จริงแต่ทุกคนทั้งเทนโจและสตาฟเป็นคนญี่ปุ่น มีเพียงเรากับเพื่อนอีก 1 คนเท่านั้นที่เป็นคนไทยในร้าน ตอนที่สัมภาษณ์ผ่านนี่ยังงงอยู่เลยค่ะ คือคุยออกนอกเรื่องมาก คุยเรื่องประเทศไทยบ้างเรื่องนู่นนี่บ้างไม่เกี่ยวกับการทำงานเลย สุดท้ายก็จัดตารางทำงานให้เสร็จเรียบร้อย ณ วันสัมภาษณ์เลย อ้าว! สรุปได้งานเฉย 55555

อย่างที่บอกไว้คือด้วยความที่เป็นคนไทย ทำให้คุ้นกับชื่อเมนูอาหารไทยการทำงานจึงไม่ยากเท่าไหร่นัก ที่ยากที่สุดคือเครื่องดื่มค่ะ เราเป็นคนที่แทบจะไม่รู้จักเครื่องดื่มต่างๆ ในญี่ปุ่นเลย แล้วในเมนูมีเป็นสิบๆ รายการสาเกนู่นนี่ ซึ่งต้องจำทั้งหมด มันยากมากๆ ช่วงแรกๆ จดออเดอร์ผิดบ่อยมาก เช่น ลูกค้าสั่ง 'เรด-โดะ-อาย' (น้ำมะเขือเทศผสมเบียร์) นี่ก็ดันจดเป็น 'เรด-ไวน์' (ไวน์แดง) เกือบโดนเพื่อนร่วมงานที่เป็นคนทำเครื่องดื่มกินหัวหลายรอบค่ะ เพราะผิดแล้วต้องทำใหม่ (=_=;)

แถมเวลาลูกค้าถามก็ต้องคอยอธิบายด้วยภาษาญี่ปุ่นงูๆ ปลาๆ ของตัวเอง แต่โชคดีที่ลูกค้าหลายท่านพยายามเข้าใจ แถมบางคนพอรู้ว่าเราเป็นคนไทยแล้วเค้าใจดีกับเรามากขึ้นด้วย  เทนโจและเพื่อนร่วมงานเฮฮามาก เรารู้สึกว่าเราสนิทกับเพื่อนคนญี่ปุ่นที่ทำงานมากกว่าในมหาลัยอีก เพราะมีโมเมนท์หลายอย่างร่วมกันเลยคุยกันง่าย เวลาโดนด่าก็โดนด่าด้วยกันนี่ล่ะ

ที่สำคัญที่สุดในการทำงานกับคนญี่ปุ่นคือการตรงต่อเวลา และทีมเวิร์คค่ะ การที่ได้ทำงานร่วมกับคนญี่ปุ่นทำให้เรากล้าพูดกับคนญี่ปุ่นมากขึ้น ไม่กลัวเวลาพูดผิด นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้ฝึกระบบการทำงานแบบญี่ปุ่น แถมการที่เราได้เจอเพื่อนร่วมงานที่เป็นมิตรจะทำให้เรารู้สึกสนุกกับการทำงาน ทุกคนจะคอยสอนงานหรือสอนคำศัพท์ใหม่ๆ อยู่เสมอเพราะเวลาลูกค้าถามจะได้ไม่ทำหน้าเอ๋อใส่อีก

นอกจากนี้เรายังโชคดีที่ผู้จัดการร้านและเจ้าของร้านก็ใจดี เวลาที่เราทำอะไรผิด เราไม่เคยโดนดุด่าแบบรุนแรงเลยสักครั้ง แต่จะใช้วิธีการสอนการอธิบายแทนทำให้เราเข้าใจจุดบกพร่องของตัวเองมากขึ้น เพราะร้านที่เราทำอยู่ไม่ได้สไตล์ไทยจ๋าหรือญี่ปุ่นจ๋าที่ต้องเป๊ะทุกอย่าง

สุดท้ายนี้ที่อยากจะฝากคุณผู้อ่านที่อ่านมาจนถึงตรงนี้คือ ถ้าเราเจองานที่เราสนใจอย่ากลัวหรือลังเลที่จะสมัครงานค่ะ ไม่ต้องกังวลว่าเค้าจะรับเราหรือไม่ ทำให้เต็มที่ที่สุดแม้ผลตอบรับจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิดก็ตาม เพราะอย่างน้อยการที่เราได้ลองไปสัมภาษณ์ก็ถือเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งที่ทำให้เราคุ้นเคยเวลาคุยกับคนญี่ปุ่นมากขึ้น จบแบบเจ็บๆ ตอนนี้ดีกว่าต้องเจ็บซ้ำๆ นะคะ

เราเชื่อว่าถ้าได้ลองทำแล้ว…อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสมากกว่าการที่เราไม่ได้ลองเลยนะคะ :)


ขอขอบคุณรูปภาพ : hotpepper, tachikawa.good24, tabelog และ fujisan