ไม่เข้าใจว่าประเทศนี้จะรวยตู้กดน้ำอัตโนมัติอะไรกันขนาดนี้ เดินไปได้ไม่กี่ก้าวเจอตู้นึง พอเดินต่อไปอีกก็เจออีกตู้ แถมบางจุดมีเรียงกัน 3-4 ตู้ แล้วขายเหมือนๆ กันอีก เพื่ออออ!? ไอ้เราก็อยากอวดฉลาดเห็นเด็กญี่ปุ่นใช้บัตร Suica จ่ายซื้อน้ำแทนเงินสด เฮ้ย! โคตรเท่ เลยอยากเอาบ้าง สรุปโชว์โง่ค่ะ ทำไม่เป็น 5555 สุดท้ายเลยเดินเข้าเซเว่นไปซื้อแทน
วันรุ่งขึ้นต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าเพราะเป็นวันแรก และมีนัดกับนักเรียนพม่าแล้ว คือ 8 โมงเช้ามาเจอกันหน้าหอพัก แต่เวลาญี่ปุ่นเร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง ถ้าเทียบกับเวลาที่ไทยก็เหมือน 6 โมงเช้าบ้านเรานั่นล่ะ ซึ่งถ้าเป็นเวลานั้นในประเทศไทย…ไม่มีทางตื่นอย่างแน่นอน! (-_-)
เมทรุ่นพี่ในห้องทุกคนเหมือนตื่นเช้ากันเป็นเรื่องปกติ ด้วยความที่ทุกคนตื่นไปเรียนหมด นี่ก็ต้องตื่นตาม รีบอาบน้ำแต่งตัวประทังชีวิตด้วยข้าวปั้นโง่ๆ จากเซเว่น 1 ก้อน (คือตอนนั้นทำอาหารไม่เป็น) แล้วก็ออกเดินทางโดยมีไกด์ชาวพม่าเป็นคนนำทาง
และแล้วเราก็พบกันอีกครั้งกับช่วง Rush Hour แต่รอบนี้ดิฉันสู้ค่ะ! เพราะไม่มีกระเป๋าเดินทางจึงพร้อมพุ่งชนโดยมีพี่พม่าเป็นเกราะกำบัง (เดี๋ยวๆ) เห็นคนญี่ปุ่นเบียดกันเข้ารถไฟนี่ก็ไปเบียดกับเค้าบ้าง ไม่งั้นขึ้นไม่ได้ต้องรอขบวนใหม่อีกสักพัก ใครที่ขึ้นได้ก็โชคดีไป นี่ก็อาศัยความเตี้ยของตัวเองแทรกเข้าไปจนเข้าไปได้คนสุดท้าย
ความรู้สึกของคนที่สามารถเบียดเข้ารถไฟได้นี่เหมือนผู้ชนะเมื่อหันมาสบตากับมนุษย์ในชุดสูทอีกหลายสิบชีวิตที่ต้องยืนรอขบวนถัดไป ประตูรถไฟค่อยๆ ปิดลงช้าๆ แต่สายตาของเราสองฝ่ายก็ยังคงจดจ้องกันจนรถไฟเคลื่อนขบวนออกไป บรรยากาศรถไฟค่อนข้างแออัดค่ะ นี่ต้องยืนเกร็งตัวตรงเป็นนกนางแอ่นเพราะร่างนี่จะสิงคนข้างๆ ได้อยู่แล้ว
ถ้าใครตดตอนนี้นี่บอกเลยว่าอาจเกิดโศกนาฏกรรมตายทั้งโบกี้ได้...
สำหรับสถาบัน JTIS นี้จะมีตึกเรียนทั้งหมด 3 ตึกค่ะ ซึ่งทุกตึกอยู่ที่ชินจูกุหมดเลยสามารถเดินไปถึงกันได้โดยจะได้เรียนตึกไหนขึ้นอยู่กับระดับของตัวเอง เนื่องจากวันนี้เป็นวันแรกเราจึงต้องไปสอบวัดระดับก่อน เอาเป็นว่าเรามาดูเส้นทางกันก่อนดีกว่าค่ะว่าจะไปได้อย่างไร
หลังจากที่ผจญภัยกันมาประมาณ 30 นาที เราก็มาถึงตึกเรียน JTIS ค่ะ ความป๊อดและความตื่นเต้นก็กำเริบอีกครั้ง เจอใครในสถาบันเราโค้งให้หมดตามมารยาท โค้งไปโค้งมาโค้งให้นักเรียนซะงั้น (= =)
พี่พม่าฮีโร่ของเราก็พาเราไปหาเซนเซ (แปลว่าอาจารย์ค่ะ) ก่อนจะเดินเข้าคลาสตัวเองไป และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เราเจอพี่แกที่ญี่ปุ่นค่ะ พอเรามาถึงอาจารย์ก็ให้เราไปนั่งรอในห้องพร้อมกับข้อสอบที่ค่อนข้างง่าย คือ ให้เขียนตัวอักษรฮิรางะนะ คะตะคะนะทั้งหมด
ง่ายโคตรๆ ใช่มั้ยล่ะ…แต่เผอิญว่าจำไม่ได้ไง! ไม่อยากจะโม้ว่าเรียนภาษาญี่ปุ่นมา 2 ปีกว่า แถมเรียนเอกญี่ปุ่นด้วยนะ แต่จำตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นได้ไม่หมด 5555 (มันน่าภูมิใจตรงไหนฟะ) บางตัวนี่ก็เบลอหลงๆ ลืมๆ เขียนตัวอักษร Yo เป็นคะตะคะนะอย่างมั่นใจว่า 'E' นี่ก็อาจารย์ถึงกับเงิบ
สรุป…ไอ้บ้า กลับหัวค่ะ! ที่ถูกคือ 'ヨ' อย่างนี้ต่างหาก ความรู้สึกตอนนั้นนี่อยากจะวิ่งกลับไปกินหญ้าหน้าหอเหลือเกิน (T_T)
แต่โชคดีไวยากรณ์ค่อนข้างง่ายค่ะ เป็นไวยากรณ์ตั้งแต่ N5 ไปจนถึง N4 เป็นข้อเขียนถามตอบสั้นๆ ให้รูปมาแล้วก็ตอบ ไวยากรณ์เราได้เต็ม แต่สงสัยว่าอีนี่มันเขียนคะตะคะนะมั่ว เลยโดนถีบไปอยู่คลาสแรก แล้วก็ต้องไปนั่งเรียนไวยากรณ์กับคันจิระดับ N5 ใหม่ เอาเถอะ…เรียนซ้ำๆ จะได้แม่นขึ้นจะได้ไม่เขียน ヨ(Yo) กลับด้านเป็น E อีก (T^T)
กฎต่างๆ ภายในห้องเรียนมีดังนี้
1. ห้ามใช้มือถือในห้องเรียน ข้อนี้เข้มงวดและสำคัญมาก ดังนั้นชาวต่างชาติอื่นๆ มักจะมีพจนานุกรมไฟฟ้าติดตัว มีเพียงยัยต่างด้าวคนนี้นี่ล่ะใช้แอพ Dictionary ในมือถือจิ้มๆ เลยโดนดุค่ะ (T^T)
2. ห้ามรับประทานอาหารและเครื่องดื่มในห้องเรียน
3. ห้ามใช้ภาษาอังกฤษหรือภาษาตัวเองคุยกัน
4. ห้ามมาสาย เพราะมีการเช็คชื่อตลอด ทั้งก่อนเข้าเรียนและระหว่างพัก ที่ญี่ปุ่นเรื่องเวลาสำคัญมากๆ ดังนั้นก่อนถึงเวลาเรียนประมาณ 5-10 นาที นักเรียนต่างชาติจะเข้ามานั่งรอพร้อมกันหมดแล้วค่ะโดยคลาสเรียนจะแบ่งเป็นช่วงเช้าและช่วงบ่าย ใน 1 วันจะเรียนแค่ครึ่งวันเท่านั้น หลังจากนั้นส่วนใหญ่นักเรียนต่างชาติก็จะไปทำงานพิเศษหรือเรียกว่า 'อะรุไบโตะ' โดยผู้ที่มีวีซ่านักเรียนเท่านั้นสามารถทำได้ค่ะ
หมายเหตุ : คุณผู้อ่านสามารถอ่านเรื่องอะรุไบโตะได้จากบล็อกก่อนหน้าค่ะเป็นประสบการณ์หางานพิเศษของเราเอง http://www.ilovejapan.co.th/life/entry/parttimeinjapan
สำหรับหนังสือที่ใช้เป็นหนังสือของทางสถาบันค่ะ แต่ด้วยความที่เราไประยะสั้นจึงได้เป็นชีทขาว-ดำมาแทน (ประหยัดไปมั้ย -_-) ซึ่งในการเรียนถ้ารู้สึกว่าคลาสที่เราเรียนง่ายเกินไป เราสามารถไปเจรจาคุยกับเซนเซได้ค่ะว่าขอเลื่อนชั้น ทุกๆ ครั้งที่เรียนจะมีการบ้านมาให้ค่ะ และจะมีสอบย่อยเกือบทุกวัน เช่น สอบคันจิและไวยากรณ์ แต่ไม่ยากมาก สำหรับคนที่เรียนระยะยาวที่นี่จะมีระบบคิดเกรดเหมือนเรียนที่โรงเรียนจริงๆ เลยด้วยนะ ซึ่งถ้าใครมาแล้วไม่ตั้งใจเรียน โดดบ่อยมีสิทธิ์โดนตัดสิทธิ์ได้ เพราะมีนักเรียนต่างชาติที่มาญี่ปุ่นแล้วโดดเรียนเอาแต่ทำงานพิเศษก็เยอะอยู่
พอเราเรียนไปได้สักพักเราเริ่มตระหนักกับตัวเองแล้วว่า 'ฉันมาทำอะไรที่นี่? พ่อแม่อุตส่าห์เสียเงินส่งเรามาถึงญี่ปุ่น ให้เรามานั่งเรียนสิ่งที่เคยเรียนไปแล้วในไทยรึยังไง' ด้วยความที่คิดได้แบบนั้น เราจึงตั้งใจไปคุยกับเซนเซเพื่อขอเลื่อนคลาส (มันยังไม่เข็ดเรื่องที่เขียน Yo กลับด้าน) แต่ด้วยความที่เรามาระยะสั้นแค่ 2 เดือน เราจึงได้เลื่อนไปอยู่ "คลาสพิเศษ" แทน ซึ่งคลาสเป็นคลาสสำหรับนักเรียนระยะสั้นมาช่วงปิดเทอมเหมือนเรา ขอบอกว่าแตกต่างกับคลาสปกติที่เราเรียนอย่างสิ้นเชิง
ว่าแต่มันพิเศษยังไงล่ะ…ถ้าอยากรู้ต้องติดตามกันต่อที่ตอนถัดไปนะคะ
(สามารถย้อนอ่านตอนที่ 1 ได้จากที่นี่ http://www.ilovejapan.co.th/life/entry/review-language-school-chapter-1)
ขอขอบคุณรูปภาพจาก : www.prezi.com, http://jtis.tokyo/
Micha Hummelink และ Aun Kanjanasuda
ขอขอบคุณคลิปวิดีโอจาก : I Love Japan ภาษาญี่ปุ่น เที่ยวญี่ปุ่น
I LOVE JAPAN GROUP CO.,LTD
Park Ploenchit
61/7 Sukhumvit 1 Road Khongtoey Nua
Wattana Bangkok, Thailand, 10110
info@ilovejapan.co.th