l ชีวิตในญี่ปุ่น

ความลับของร้านซูชิ – ความลับข้อที่ 5 ตอนจบ “ซูชิที่เหลือ หลังปิดร้านเราจะเอาไปทำอะไร”

ความลับของร้านซูชิ – ความลับข้อที่ 5 ตอนจบ “ซูชิที่เหลือ หลังปิดร้านเราจะเอาไปทำอะไร”

By , Wednesday, 18 May 2016

ในที่สุดก็ถึงเวลาปิดร้านแล้วค่ะ เห้อออ เหนื่อยมาทั้งวัน ดิฉันชอบเวลานี้ที่สุดเลย 555

ทุกคนคงจะสงสัยใช่ไหมคะ ว่าถ้าซูชิที่มันหมุนๆอยู่ในรางไม่มีใครหยิบจนปิดร้าน จะทำอย่างไรกับซูชิเหล่านั้น
มีให้เลือก 4 ตัวเลือกค่ะ
1.พนักงานทานเอง
2.ลดราคาให้ลูกค้า เป็นเซอร์วิสพิเศษก่อนปิดร้าน
3.ทิ้งลงถังขยะให้หมด
4.ให้พนักงานเอากลับบ้านได้

ติ๊กต๊อก...ติ๊กต๊อก...

คำตอบที่ถูกต้องก็คือ……..!!!!!
ข้อ 1-3 เลยค่ะ
ข้อ 4 นี่ละไว้ในฐานที่เข้าใจเองว่า มันดูน่าเกลียดนะคะถ้าจะขอเอากลับบ้าน เลยไม่มีใครกล้าขอค่ะ
จริงๆ โดยปกติแล้วลุงปั้นซูชิเขาจะคอยดูว่า ช่วงเวลานี้ลูกค้าเข้าร้านเยอะไหม
ถ้าไม่เยอะก็จะปั้นใส่รางไม่เยอะ จะให้ลูกค้าสั่งเองมากกว่าว่าอยากทานอะไร
แต่ก็มักจะมีเหลือบ้างแหละค่ะ เป็นลาภปากพนักงานอย่างเราๆ
(ปล.จริงๆ เมเนเจอร์ไม่ให้บอกใครนะคะ ว่าพนักงานได้ทาน หวังว่าจะไม่มีใครแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นให้เมเนฯอ่านนะคะ)
ส่วนของที่ลดราคา เช่น ไข่ตุ๋น จาก 180 เยน เหลือ 110 เยน หรือเอาเค้กมาหมุนในรางด้วย (ปกติต้องมีคนสั่งถึงจะเสิร์ฟ)
สุดท้ายจานไหนไม่มีใครทานจริงๆ (ประมาณว่าทุกคนอิ่มแล้ว) ก็ทิ้งลงถังขยะหมด
ดิฉันก็จะนั่งมองด้วยแววตาสงสาร ซูชิน้อยๆ โดนเทลงถังทีละจานๆ



ช่วงต่อไปจะเป็นช่วงเก็บตก เม้าท์มอยลูกค้าทั้งญี่ปุ่นและต่างชาติกันค่ะ


จากความลับตอนที่ 3 ที่ดิฉันเคยเม้าท์พี่จีนกับผงชาไปแล้ว วันนี้จะมาเม้าท์ชาติอื่นบ้างค่ะ
คนไทยเราก็เข้าร้านเยอะนะคะ แต่ไม่ค่อยมีวีรกรรมเด็ดๆมาก 
คงเพราะประเทศเราฝึกการทานอาหารญี่ปุ่นมามากมาย เตรียมพร้อมตั้งแต่อยู่ในประเทศกันแล้ว
ดังนั้นเราจะมาเม้าท์หนุ่มต่างชาติ ผมทอง ตาสีอ่อน (กรี้ดดด หล่อ หล่อมากกกกกกกก!!!)


อย่างแรก ชนชาติหัวทองและชนชาติแขก มักจะขอช้อนส้อมเสมอ
ปกติเราจะให้ส้อมกับเด็กตัวจิ๋วๆ ที่ยังใช้ตะเกียบไม่เป็นนะคะ
แต่พอมีฝรั่งตัวโตๆ ใช้ส้อมทานซูชิ ใช้ช้อนตักซุปมิโซะ มัน So cute มากค่ะ!!!
ดิฉันเคยถามเพื่อนฝรั่งที่มาเรียนที่นี่ว่า ประเทศคุณไม่มีตะเกียบเลยเหรอ ประเทศฉันยังมีใช้ตะเกียบทานก๋วยเตี๋ยวนะ
เขาบอกว่า เขามาที่นี่ก็เพิ่งเริ่มฝึกจับตะเกียบ แต่บางทีมันก็ยากเกินไป กินแล้วไม่ค่อยมีความสุข เลยขอช้อนส้อมดีกว่า
มันก็จริงนะคะ บางทีดิฉันก็ขอช้อนมาตักข้าวเหมือนกัน…



อย่างที่สอง มีหนุ่มฝรั่งคนนึงพกซอสเทริยากิมาเอง เพื่อทานกับซูชิ!!
จริงๆ ร้านเราก็ไม่ได้ห้ามนะคะ ถ้าจะเอาอะไรเข้ามาทานประกอบด้วย
มันทำให้ดิฉันอยากลองค่ะ ปกติทานซูชิกับโชยุตลอด จริงๆทานกับซอสเทริยากิอาจจะอร่อยกว่าก็ได้
แต่ก็มีคนญี่ปุ่นบางคนนะคะ ที่ขอเกลือ…. ไม่ทราบเหมือนกันค่ะว่า ทานกับปลาชนิดไหน
เรื่องนี้ทำให้ดิฉันเรียนรู้ว่า "ซูชิทานกับอะไรก็อร่อย!"
แต่กับผงชา….ไม่ค่อยมั่นใจแฮะ… (ใครไม่ทันมุข อ่านย้อนในความลับข้อที่ 3 นะ)

แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ดิฉันน้ำตาร่วง ทั้งเรื่องดีและเรื่องแย่ค่ะ
เหตุการณ์แย่ๆ มันเกิดขึ้นตอนที่ฉันเพิ่งเข้ามาทำงานไม่กี่เดือน
ที่ป้ายชื่อพนักงานจะมีติดสัญลักษณ์ว่าเป็นพนักงานใหม่ค่ะ ลูกค้าจะได้ทราบว่าอาจจะทำอะไรไม่เป็น
วันนั้นดิฉันทำหน้าที่แคชเชียร์ และมีมนุษย์ลุงญี่ปุ่นทานเสร็จแล้วจ่ายเงิน
ลุงจ่ายแบงค์ใหญ่มา 1 ใบ แล้วก็ยืนนิ่งๆ ไม่มีทีท่าว่าจะล้วงเศษเหรียญขึ้นมาจ่าย
ดังนั้นดิฉันเลยกดเครื่องว่า รับแบงค์นั้นมา ทำให้เงินทอนเป็นเศษเหรียญมหาศาล


แล้วจู่ๆ ลุงหยิบเศษเหรียญออกมาจ่าย (จ่ายแบบโยนๆ ให้ด้วย ไม่ใช่วางดีๆ)
ดิฉันเลยบอกไปว่า เงินทอนออกมาแล้วค่ะ ต้องขอโทษด้วย…
เท่านั้นแหละค่ะ!! ลุงก็โมโหเลย บ่นอะไรไม่รู้เป็นชุด ดิฉันก็ได้แค่ขอโทษ
โอเค ดิฉันผิดที่ไม่ยอมถามก่อน เพราะตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นแคชเชียร์ญี่ปุ่นต้องถามจำนวนก่อนรับเงินมา

แต่คำพูดที่ลุงพูดว่าฉัน เป็นอะไรที่ฉันทนไม่ได้จริงๆ
เขามองป้ายชื่อ แล้วพูดว่า "เป็นต่างชาติเรอะเป็นแค่พนักงานพาร์ทไทม์ แล้วยังไม่รู้จักมารยาท"
แล้วก็โยนใบเสร็จใส่ เดินปึงปังออกจากร้านไป…



งง อึ้ง สักพักน้ำตาหยดแหมะๆ จนวิ่งไปปล่อยโฮหลังร้าน
ก็อยากจะบอกทุกคนว่า….มนุษย์ลุงที่นี่น่ากลัวมากค่ะ เขาจะทำตัวเหมือนตัวเองยิ่งใหญ่มาก
ส่วนมนุษย์ป้าที่ทำตัวไม่ดีก็มีค่ะ แต่ที่มาทานร้านดิฉัน ป้าทุกคนน่ารักมาก มีความเกรงใจ พูดขอบคุณพนักงานเสมอ

เรื่องต่อไปเป็นมนุษย์ลุงอีกคนค่ะ เรื่องนี้ก็ทำให้ดิฉันน้ำตาไหล แต่เพราะซึ้งนะคะ
เรื่องมีอยู่ว่า มีลุงคนนึงกดสั่งสาเก แล้วดิฉันไปเสิร์ฟช้ามาก ลุงก็เลยพูดเตือน
ดิฉันก็เลยขอโทษไปแบบยิ่งใหญ่มาก ก้มตัว 45 องศาด้วยแหละ (คือกลัวเกิดเหตุการณ์แบบข้างบนไง)
ลุงก็บอก "ไม่ได้โกรธๆ ไม่ต้องคิดมาก แค่บอกเฉยๆ" ดิฉันก็เลยโล่งใจไปนิดนึงค่ะ
พอตอนคิดเงิน ดิฉันก็ไปเป็นแคชเชียร์ค่ะ (อีกละ! ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยไหมเนี้ย)
ดิฉันต้องทอนลุงเป็นแบงค์พัน จำนวน 8 ใบ เพราะแบงค์ห้าพันหมด ก็เลยต้องนับทีละใบๆให้ลุงตรวจทาน

สักพักลุงก็ถาม "เป็นคนประเทศอะไรน่ะเรา"
ดิฉัน "คนไทยค่ะ มาเรียนที่นี่"
ลุง "เหรอๆ งั้นไม่ต้องนับแบงค์ละ พอๆๆ"
ดิฉัน "เดี๋ยว ไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวทอนผิด"
ลุง "ไม่เป็นไรหรอก…เพราะคนไทยไม่โกหก"



งง อึ้ง สักพักน้ำตาคลอ…ลุงคงจะเห็นว่าดิฉันขอโทษลุงอย่างจริงใจเมื่อกี้ เลยอาจจะพูดให้กำลังใจ
แต่ดิฉันดีใจมากกว่า ที่ลุงพูดว่า "คนไทย" นั่นหมายถึงทุกคน ไม่ใช่ดิฉันคนเดียว
วันนั้นเป็นวันที่ดิฉันแฮปปี้ที่สุดในโลกเลยค่ะ

-------------------------------------------------------

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านกันมาจนถึงตอนจบนะคะ กราบงามๆเลย
อยากให้ใครที่ได้มาเรียนต่อญี่ปุ่น ก็ลองมาสัมผัสประสบการณ์ทำพาร์ทไทม์กันนะคะ
เป็นสิ่งที่ล้ำค่า และหาไม่ได้ที่ไหนอีกแล้วจริงๆ
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ เจอกันใหม่บล็อกหน้า จะเป็นเรื่องอะไรต้องติดตามจ้ะ

แฉ โดย Gora
ภาพ โดย Gyappu