t ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น

ขับรถเที่ยวญี่ปุ่น กับรถที่ใช่!!

ขับรถเที่ยวญี่ปุ่น กับรถที่ใช่!!

By , Monday, 24 October 2016

สวัสดีเพื่อนๆ นักอ่านชาว ilovejapan.co.th (เราเปลี่ยนโดเมนของเว็บไซต์แล้วนะ ^^) Yuri JT มาในวันนี้ ไม่ได้มาพาเที่ยวเหมือนใน Blog ก่อนๆ ที่ผ่านมา แต่จะมาชวนเพื่อนๆ ขับรถเที่ยวในญี่ปุ่นกันครับ!!

เพื่อนๆ เคยคิดอยากจะลองไปขับรถที่ญี่ปุ่นกันสักครั้งมั้ยครับ (=^ェ^=)

ลองจินตนาการถึงการเดินทางที่สะดวกสบาย อิสระไม่ต้องคอยกังวลเรื่องตารางเวลารถไฟ ได้เข้าถึงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ได้โดยไม่ต้องรอรถสาธารณะ อย่างเช่น รถบัสที่ต้องรอรอบเดินรถนานนับชั่วโมง(เฉพาะสายเดินรถบางสาย) หรือแม้แต่รถแท็กซี่ที่ขึ้นชื่อว่ามีไว้บริการคนมีสตางค์ ที่เห็นค่ามิเตอร์แล้วต้องใจหายแว่บ หมดเรี่ยวแรงจะไปช็อปปิ้งต่อกันเลยทีเดียวล่ะครับ ^^" และที่สำคัญคือไม่ต้องจ่ายค่ากรุ๊ปทัวร์ เพื่อไปแชร์เวลาแชร์พื้นที่ หรือรอกันไปรอกันมาอยู่กับคนแปลกหน้า

​ที่มาของภาพประกอบ :​ 

https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/564x/a2/e9/37/a2e937560e7629508047c222f8f7f7df.jpg

http://nerdnomads.com/wp-content/uploads/DSC04549.jpg 

http://www.japan-guide.com/blog/g/sakura10_100404_kyoto_02.jpg

https://2baht.com/wp-content/uploads/2016/03/chinese-tour-group.jpg


แล้วถ้าเราจะไปขับรถกันที่ญี่ปุ่น เราต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างล่ะ?

คำตอบก็ง่ายๆ ตามนี้ครับ ...


รู้จักรถและถนนญี่ปุ่น!

ที่ญี่ปุ่นใช้รถยนต์ที่มีพวงมาลัยอยู่ด้านขวา และขับรถชิดด้านซ้ายของถนนเหมือนบ้านเราทุกประการครับ เพราะฉะนั้นถ้าเพื่อนๆ ขับรถกันในชีวิตประจำวันอยู่ที่บ้านเราอยู่แล้วจะสามารถขับที่ญี่ปุ่นได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องกังวลอะไรเลย เห็นจะน่าเป็นห่วงก็แต่เรื่องการปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด!! นี่แหละครับ เพราะที่ญี่ปุ่นเค้าซีเรียสและให้ความสำคัญกับเรื่องการปฏิบัติตามกฎจราจรและความปลอดภัยอย่างจริงจังมากๆ ไม่มี "หยวนๆ น่าจ่า" แบบบ้านเรานะครับ (  ̄(エ) ̄)


ต้องมีใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ 

ใช่แล้ว... เพื่อนๆ จะต้องมีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ (ส่วนบุคคล) และ "ใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ" ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เพื่อนๆ ต้องผ่านการขับรถยนต์มากันบ้าง (อย่างน้อยก็ตอนสอบใบขับขี่) และเจ้า "ใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ" นี่แหละครับ คือเอกสารสำคัญที่เราจะต้องใช้ตั้งแต่ยังไม่ได้ออกนอกประเทศเลยด้วยซ้ำ เพราะว่าเราจะต้องใช้มันประกอบการจองรถยนต์ผ่านเว็บไซต์รถเช่าด้วย (สำหรับบางเว็บไซต์)

​ตัวอย่างใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ สามารถไปทำได้ที่กรมการขนส่งทางบกทุกสาขา(ทุกจังหวัด)ครับ ในการจองรถเช่าผ่านเว็บไซต์ส่วนมากจะถามแค่ประเภทของใบอนุญาตเท่านั้น ไม่ต้องลงเลขที่เอกสารของเราลงไป ให้เรามองหาและเลือกประเภทใบอนุญาตที่มี ปี ค.ศ.1949 กำกับอยู่ (เป็นปีคริสตศักราช ของอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ฉบับปี พ.ศ.2492) 

หลักฐานสำคัญที่ต้องนำติดไปทำใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ มีดังนี้ครับ 

  1. ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ (ส่วนบุคคล) ใครยังไม่มี...ไปสอบมา!! 
  2. รูปถ่ายติดบัตร (หน้าตรง) ขนาด 2 นิ้ว จำนวน 2 รูป 
  3. ค่าธรรมเนียม 505 บาท
ใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศนี้จะมีอายุ 1 ปี นับจากวันที่ออกให้โดยกรมการขนส่ง ซึ่งจะประทับอยู่ที่ด้านหน้าปกของใบอนุญาต


ในตัวอย่างด้านบนนี้เป็นของเว็บไซต์ nipponrentacar.co.jp ซึ่งผมเคยมีโอกาสได้เลือกใช้บริการของบริษัทนี้ครับ เป็นบริษัทรถเช่าที่มีสาขามากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ (ผมไม่ได้ค่าโฆษณาหรือคอมมิชชั่นใดๆ นะครับ ^^" แค่คิดว่าของเค้าดีใช้ได้ เลยอยากแนะนำให้เพื่อนๆ ได้ใช้บริการที่ดีและสะดวกสบายกันครับ) การกรอกข้อมูลนั้นก็ให้ใส่ข้อมูลที่จำเป็นทุกอย่างลงไปครับ และให้สังเกตที่ช่อง Driver License ครับ จะมี Drop-down ให้เราเลือกประเภทของใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ เราต้องเลือก "International driving permit under Convention of 1949" ครับ



เลือกรถที่ใช่!! 

เลือกและจองรถยนต์ที่เหมาะกับการเดินทาง จำนวนสมาชิกร่วมทริป ช่วงฤดูกาล และภูมิประเทศที่เราจะไป ซึ่งรถเช่าในญี่ปุ่นนั้นมีตามเว็บไซต์ให้เลือกมากมาย พร้อมด้วยอุปกรณ์จำเป็นอย่างเช่น GPS ภาษาอังกฤษ, ยางสำหรับลุยหิมะ (Snow Tires), บัตรทางด่วน (เหมือน Easy Pass บ้านเรา) และอื่นๆ ซึ่งอุปกรณ์เสริมบางอย่างจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ฉะนั้นเวลาทำการจองเพื่อนๆ ต้องอ่านกันให้ละเอียดก่อนนะครับ

เว็บไซต์รถเช่ามีทั้งจากบริษัทรถเช่าในญี่ปุ่นโดยตรง ซึ่งมักจะไม่เรียกเก็บเงินหรือตัดเงินผ่านบัตรเครดิตของลูกค้าทันที แต่จะใช้การจ่ายด้วยเงินสดหรือบัตรเครดิตที่หน้างานมากกว่า (จ่ายตอนไปรับรถ พร้อมมัดจำรถโดยใช้วงเงินบัตรเครดิต)
หรือเว็บไซต์แบบจากบริษัทรถเช่า World wide ที่มีสาขาอยู่เกือบทุกประเทศท่องเที่ยว แต่การชำระเงินนั้นจะเป็นการชำระล่วงหน้าผ่านทางหน้าเว็บไซต์โดยการใช้เลขบัตรเครดิต


ข้อเปรียบเทียบระหว่างเว็บไซต์รถเช่าที่เป็นของบริษัทรถเช่าในญี่ปุ่นโดยตรง กับบริษัทรถเช่า world wide 

(เพื่อนๆ ลองพิจารณาและเลือกตามความสะดวกได้เลยครับ ^^)

การชำระเงินค่าเช่ารถ

บริษัทรถเช่าญี่ปุ่นโดยตรง มักจะไม่เรียกเก็บเงินหรือตัดเงินผ่านบัตรเครดิตของลูกค้าทันที แต่จะใช้การจ่ายด้วยเงินสดหรือบัตรเครดิตตอนที่เราไปรับรถเลยไม่ต้องจ่ายล่วงหน้าไว้เป็นเวลาเนิ่นนาน ซึ่งในขณะเดียวกัน บริษัทรถเช่า world wide นั้นจะเรียกเก็บเงินค่าเช่ารถก่อนเสมอและต้องใช้บัตรเครดิตที่เป็น AMEX, VISA, MASTERCARD (บางเว็บไซต์ไม่รับ JCB นะครับ)

การมัดจำหรือค้ำประกันรถ

การมัดจำรถหรือค้ำประกันรถนั้นต้องทำด้วยการกันวงเงินบัตรเครดิตของเราไว้ (เหมือนกันทั้งเว็บรถเช่าญี่ปุ่น และรถเช่า world wide) ซึ่งต้องทำตอนที่รับรถเหมือนกันทั้งคู่ เวลาที่ทำรายการเราจะได้สลิปออกมาเป็นมูลค่าเงินเยน ก็ลองคูณด้วยเรทค่าเงินดูครับจะอยู่ที่ประมาณ 20,000 บาทกว่าๆ โดยมาตรฐานแล้วจะไม่เกินนี้ครับ (ยกเว้นรถยนต์พิเศษๆ บางประเภท) ซึ่งการมัดจำนี้อาจส่งผลให้วงเงินของบัตรเครดิตใบที่เราใช้นั้นเต็มและนำไปใช้ต่อไม่ได้ หรืออาจจะไม่พอใช้มัดจำหลังจากที่ใช้บัตรรูดชำระค่าเช่ารถไปแล้ว เหตุการณ์ดังกล่าวมักจะเกิดขึ้นในตอนที่เรารับรถจากบริษัทรถเช่าญี่ปุ่นมากกว่า เพราะเมื่อเราไม่ได้จ่ายเงินค่าเช่ารถไว้ล่วงหน้า ทางร้านจะรูดบัตรเครดิตเราเพื่อชำระค่าเช่ารถในวันรับรถ จากนั้นจึงจะใช้วงเงินของบัตรใบเดียวกันนั้นมาค้ำประกันรถ ซึ่งถ้าหากเราเคลียร์วงเงินหรือขยายวงเงินไว้ไม่พอเราอาจจะประสบกับปัญหาดังกล่าวนี้ได้

แต่กับบริษัทรถเช่า world wide การที่เราได้จ่ายเงินค่าเช่ารถไว้ล่วงหน้านั้นถือเป็นข้อดี เพราะว่าเราจะมีโอกาสได้วางแผนค่าใช้จ่ายและสามารถเคลียร์วงเงินบัตรเครดิตของเราไว้ล่วงหน้าได้ง่ายกว่าการไปจ่ายค่าเช่ารถในวันรับรถนั่นเองครับ ซึ่งในขณะเดียวกันการจ่ายไว้ล่วงหน้านั้นมีข้อเสียตรงที่ ถ้าหากทริปของเรามีอันต้องเลื่อนหรือยกเลิกขึ้นมาล่ะก็... เราจะต้องลำบากยุ่งยากกับการทำเรื่องยกเลิกการเช่าและขอเงินคืนจากบริษัทรถเช่า โดยรถเช่าบางบริษัทนั้นจะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการยกเลิกให้เราหัวเสียเล่นๆ เอาเสียด้วย(ประเด็นนี้เค้าจะระบุไว้ในเงื่อนไขการจองรถเช่า เราต้องอ่านกันให้ละเอียดๆ นะครับ)


วิธีป้องกันปัญหาวงเงินบัตรเครดิตไม่พอมัดจำรถ สามารถทำได้ด้วยการติดต่อธนาคารเจ้าของบัตร (ก่อนออกเดินทางไปญี่ปุ่นอย่างน้อย 2 สัปดาห์นะครับ) เพื่อขอขยายวงเงินบัตรเป็นการชั่วคราวเอาไว้ล่วงหน้าครับ เพราะฉะนั้นใครจะจองรถผ่านเว็บไซต์รถเช่าทั้งในญี่ปุ่นหรือเว็บไซต์รถเช่า world wide ก็ควรวางแผนเคลียร์และคอยเช็ควงเงินบัตรเครดิตไว้ให้ดีๆ นะครับ หรือในกรณีที่ต้องจ่ายค่าเช่ารถตอนรับรถ ถ้าเราไปด้วยกันกับเพื่อนหลายๆ คน ก็ตัดปัญหาด้วยการเตรียมเงินสดไปหารกันจ่ายค่าเช่ารถกัน แล้วค่อยหาบัตรเครดิตของใครสักคนในกลุ่มมาให้ทางร้านเช่ารถทำการกันวงเงินก็ได้เช่นกันครับ (ควรจะต้องเป็นบัตรเครดิตของผู้ที่ลงชื่อจองรถไว้ครับ)


จำนวนผู้โดยสาร เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกรถ ซึ่งใน Blog นี้ เราจะมาให้ความสำคัญกับจำนวนของสมาชิกร่วมเดินทางกันก่อน เพราะเป็นปัจจัยที่สำคัญมากกับพิจารณาเลือกรถที่มีขนาดห้องโดยสารและขนาดของเครื่องยนต์ที่เหมาะสมกับจำนวนคน ซึ่งเรามักจะนึกกันไม่ออกเพราะว่าส่วนใหญ่เราจะขับรถกันอยู่ไม่กี่แบบ เช่น รถยนต์นั่ง 4 คน เครื่องยนต์ 1500 - 2000 cc เป็นต้น

แต่ด้วยความที่รถเช่าในญี่ปุ่นนั้นมีหลากหลายขนาด (segment) ให้เลือก ดังนั้นเราจะมาพิจารณาตามจำนวนคนก่อน แล้วค่อยพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญเป็นอันดับรองลงมา เช่น ภูมิประเทศ สภาพอากาศ ตามภูมิภาคต่างๆ ของญี่ปุ่น

เดินทาง 2 - 4 คน แนะนำให้เลือก Subcompact หรือ Kei-Car หรือ K-Car รถจิ๋วที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 600-1000 cc (ส่วนมากจะอยู่ที่ 600 cc) มีผลิตขายในญี่ปุ่นเกือบทุกแบรนด์รถยนต์ชั้นนำ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการรถยนต์ที่ช่วยประหยัดพื้นที่จอดรถและประหยัดภาษีรถยนต์ของคนที่นู่น เพราะพื้นที่จอดรถที่ญี่ปุ่นเขามีจำกัดจริงๆ สำหรับเพื่อนๆ ที่ชอบความน่ารักฟุ้งฟิ้งกิงก่องแก้วแล้ว...​นี่คือทางเลือกนึงครับ ^^ 


ที่มาของภาพประกอบ

http://s1.cdn.autoevolution.com/images/news/toyota-pixis-mega-is-japan-s-newest-ultra-cute-kei-car-photo-gallery-97386_1.jpg

http://2.bp.blogspot.com/-h-OEO3gLry8/VJlF2KNSqvI/AAAAAAAAVLw/TgguJVbqoMg/s1600/Suzuki-Alto-0.jpg

https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/9/93/Mazda_Carol_601.JPG


ทำไมต้อง Kei-Car?

เพราะว่าเจ้ารถยนต์คันเล็กกระทัดรัดแสนน่ารักนี้ นอกจากเพื่อนๆ จะหาซื้อมาขับในบ้านเราไม่ได้ง่ายๆ แล้ว หากคิดจะซื้อโดยนำเข้าจากญี่ปุ่นมาขับเก๋ๆ ในบ้านเรา จะต้องจ่ายภาษีนำเข้าสูงถึงประมาณ 200% ของราคารถ!! เพื่อนๆ ลองคำนวณราคารถ Kei-Car นำเข้ากันดูนะครับ... เฮือก!! เป็นล้านบาทกันเลยทีเดียว ราคาขนาดนี้ไปซื้อรถเครื่องยนต์ 2000 cc ซึ่งเราสามารถซื้อรถพวก Camry/Accord มาขับได้เลยล่ะครับ (ราคาขายของรถ Kei-Car ที่ญี่ปุ่นคิดเป็นเงินไทย เกือบทุกรุ่นราคาไม่เกินคันละ 400,000 บาท) และถ้าจะเปรียบเทียบกับรถที่ใช้กันอยู่ในบ้านเราก็จะคล้ายๆ กับ Nissan March, Honda Brio หรือ Mitsubishi Mirage เพียงแต่ Kei-Car นั้นมีขนาดของเครื่องยนต์ที่เล็กกว่า นับเป็นตัวเลือกที่น่ารัก "ฟรุ้งฟริ้งกรุ๊งกริ๊ง" แล้วยังมีราคาค่าเช่าที่ถูกที่สุดในบรรดารถเช่าอีกด้วย เป็นรถเช่าที่เหมาะกับทริปที่เน้นความประหยัด หรือสำหรับคนที่อยากลองขับรถจิ๋วๆ รวมไปถึงการมีรูปคู่น่ารักๆ กับรถ Kei-Car กับฉากหลังอันงดงามตามฤดูกาลในญี่ปุ่นมากๆ เลยคร้าบ :D



เดินทาง 4 - 5 คน ขนสัมภาระเยอะและอยากนั่งหลวมๆ และได้สมรรถนะดี บุกๆ ลุยๆ รับน้ำหนักเยอะๆ ได้ แนะนำให้เลือก Compact Sedan, Station Wagon หรือ SUV ด้วยขนาดเครื่องยนต์ที่มีตั้งแต่ 1600 ไปจนถึง 2000 cc และมีรถ AWD หรือรถขับเคลื่อนสี่ล้อให้เลือกในบางรุ่น(มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) เพิ่มสมรรถนะและความปลอดภัยในการออกทริปบุกลุย ตะกุยหิมะ ซึ่งถ้าเปรียบกับรถในบ้านเราก็ประมาณเก๋งบางรุ่น เช่น Toyota Altis, Honda Civic หรือรถกึ่ง SUV บางรุ่น เช่น Mazda CX-5, Subaru XV, Subaru Forester, Toyota Fortuner, Honda CR-V


ทำไมต้อง AWD (ขับเคลื่อนสี่ล้อ) ?

สำหรับทริปที่ต้องการบุกตะลุย ตะกุยหิมะ โดยเฉพาะในฮอกไกโดที่มีหิมะปกคลุมเป็นเวลาเกือบครึ่งปี ในเกือบจะทุกพื้นที่ (เริ่มตั้งแต่ ต้นเดือนพฤศจิกายน ยาวไปถึงเมษายนของทุกปี) รถขับเคลื่อนสี่ล้อมีคุณสมบัติพิเศษที่จะช่วยเพื่อนๆ รับมือกับสภาพถนนที่เปียกลื่น ที่สามารถจะทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ท้ายรถปัด, รถวิ่งหลุดจากโค้ง หรืออาจจะถึงกับหมุนคว้างเอาได้ง่ายๆ เลยทีเดียว ซึ่งเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่กล่าวมานั้นมีสาเหตุมาจากอาการ "ไวโค้ง" และ "ดื้อโค้ง" หรือที่ภาษาสากลเรียกว่า "โอเวอร์สเตียริ่ง" (over steering) และ "อันเดอร์สเตียริ่ง" (under steering) นั่นเอง หากเพื่อนๆ ต้องการอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการที่ว่ามาก็สามารถคลิกอ่านได้เลยตามนี้ครับ over-under-steer 

เจ้ารถขับเคลื่อนสี่ล้อนี้ มักจะมาพร้อมกับยางลุยหิมะ(snow tires) ที่นับเป็นตัวช่วยอย่างดีที่ทำให้เพื่อนๆ ไม่ต้องเสี่ยงไปหมุนคว้าง หรือแถไปหารถที่วิ่งสวนมา หรือหนักถึงขั้นหลุดโค้งออกจากถนน เพราะมันมีระบบควบคุมอัตราการหมุนของล้อทั้งสี่ให้สมดุลกัน เมื่อเกิดอาการที่ล้อใดล้อหนื่งหมุนเร็วเกินรอบของล้ออื่นๆ อย่างผิดปกติ หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า "อาการล้อฟรี" ระบบ AWD จะสั่งให้เพลาทดเฟือง (Auto differential lock) นั้นทำการถ่ายแรงบิดไปยังล้ออื่นๆ ให้หมุนในรอบที่ใกล้เคียงกันมากที่สุด ทำให้สามารถควบคุมรถให้อยู่ในแนวเส้นทางที่เราจะมุ่งไปได้อย่างง่ายและแม่นยำยิ่งขึ้น แม้จะอยู่บนถนนที่เปียกลื่นหรือมีหิมะปกคลุมก็ตาม นับว่าเป็นตัวช่วยที่สำคัญมากสำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังสนใจจะไปลอง "ตะลุยหิมะฮอกไกโด" ครับ!!

ปล.เจ้าตัวช่วยนี้อาจทำให้เพื่อนๆ รู้สึกเจ็บกระเป๋าสตางค์กันสักเล็กน้อยนะครับ เพราะมันมาพร้อมอัตราค่าบริการเพิ่มเติม ซึ่งบริษัทรถเช่าแต่ละจ้าวนั้นคิดในเรทราคาที่แตกต่างกันไป โดยจะชาร์จเพิ่มกันอยู่ที่ราวๆ 400 - 500 บาทต่อวัน สำหรับค่าบริการรถรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ และชาร์จเพิ่มประมาณ 700 - 1000 บาทต่อวัน สำหรับค่าบริการยางลุยหิมะ (snow tires) ^^"



เดินทาง 5 - 7 คน ถ้าหากว่ามากันเป็นครอบครัว มีทั้งเด็ก, ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ก็แนะนำให้หารถที่สะดวกสบายขึ้นมาอีกระดับ ก็คือ MPV หรือ Minivan ที่มาพร้อมกำลังเครื่องยนต์ขนาด 2000 cc ขึ้นไป ถ้าเปรียบเทียบกับรถที่ใช้กันอยู่ในบ้านเราก็ประมาณ Toyota Alphard, Nissan Elgrand (เป็นที่นิยมเช่าขับกันมากพอสมควร), Honda StepWgn Spada, Mazda CX-9 ซึ่งรถประเภทนี้จะสามารถนั่งได้สูงสุด 7 คน (รวมคนขับ)

ทำไมต้อง MPV ?

หากเพื่อนๆ มีครอบครัวขยายที่มีผู้สูงอายุไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย อากง อาม่า อาอึ้ม อาแปะ ฯลฯ ที่เพื่อนๆ รักและอยากพาท่านไปสัมผัสบรรยากาศอันดีงามและมนต์เสน่ห์มิรู้ลืมแห่งแดนอาทิตย์อุทัยด้วยกันแล้วล่ะก็ รถประเภทนี้จะช่วยเราให้พาท่านเดินทางได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้นแม้ว่าจะต้องนั่งรถนานเป็นครึ่งค่อนวันก็ตาม ท่านจะรู้สึกสบายกว่ารถทั่วๆ ไป เพราะรถ MPV และ Minivan เหล่านี้ได้ติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาให้ รวมถึงเบาะนั่งที่สบายกว่ารถทั่วๆ ไปอีกด้วย (เวลาเลือกเช่ารถประเภทนี้จะมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกติดรถให้เลือกและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอย่างเช่น เก้าอี้สำหรับผู้สูงอายุ เป็นต้น)

ยิ่งไปกว่านั้นการเดินทางที่มีเด็กเล็กไปด้วยก็จะสะดวกสบายมากขึ้นเช่นกัน เพราะมีพื้นที่ใช้สอยภายในรถมากขึ้น อย่างเช่น ในกรณีที่เด็กๆ ง่วงและงอแงไม่อยากลงไปเดินเที่ยวต่อแล้ว ก็สามารถปรับเบาะเป็นที่นอนให้เด็กๆ นอนกลางวันกันได้สบายๆ กันเลยทีเดียว ส่วนผู้ใหญ่ก็ลงไปเดินเที่ยวกันยาวๆ (แต่ต้องมีผู้เสียสละอยู่กับเด็กๆ ที่รถอย่างน้อย 1 คนนะครับ ^^")


แล้วถ้าเกิดว่าไปกันมากกว่า 7 คนล่ะ!! ก็จัด VAN ไปเลยฮะ (รถตู้ Commuter แบบที่บ้านเราเค้าทำรถตู้วินกันนั่นแหละฮะ) ซึ่งรถตู้ให้เช่าขับเองที่ญี่ปุ่นนั้นมีเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง และถ้าเกิดว่าเรามีจำนวนสมาชิกร่วมทริปที่เกินกว่าจำนวนที่นั่งที่สามารถนั่งคาดเข็มขัดนิรภัยได้แล้วล่ะก็... อย่าอัดโดยเด็ดขาดนะครับ เพราะว่าเป็นเรื่องผิดกฏหมายและมีโทษปรับที่รุนแรงพอสมควรและอาจทำให้คนที่ขับรถนั้นถูกขึ้นบัญชีผู้กระทำผิดกฏหมายจราจรไว้ อาจส่งผลต่อการเข้าประเทศในครั้งต่อๆไป (เบากว่าโทษเมาแล้วขับนิดนึง) ข้อหาบรรทุกผู้โดยสารเกินขนาดยานพาหนะและฝ่าฝืนกฏหมายด้านความปลอดภัยเรื่องการใช้คาดเข็มขัดนิรภัย (ส่วนมากแล้วรถตู้จะมี 9 ที่นั่งในห้องโดยสาร ซึ่งไม่นับรถคนขับและคนนั่งข้างคนขับ)

ที่มา http://www.newcars.com.pk/toyota/images/hiace-commuter-2013.jpg

วัยรุ่นกลุ่มใหญ่ ขาลุยผู้ไม่เน้นความสะดวกสบาย หรือ VIP มากนัก ก็จัดเลยครับ VAN ให้เช่าที่ญี่ปุ่นนั้นมีราคาที่สมเหตุสมผลครับ ^^ แต่ก็ต้องจองล่วงหน้านานสักนิดนึง เพราะแต่ละบริษัทนั้นมีจำนวนรถตู้ที่ให้เช่าขับเองค่อนข้างน้อย (ส่วนใหญ่จะมาพร้อมคนขับ)


เลือกรถที่ใช่ที่สุด!!


ส่งท้าย Blog นี้ผมก็ขอพาเพื่อนๆ มาดูรถที่ใช่ที่สุด และน่าตื่นเต้นที่สุดของ Blog นี้กันสักหน่อยครับ

​เรื่องของจำนวนคนนั้นจำกัดแค่ 2 - 4 คนเท่านั้น และที่บอกว่า "ใช่ที่สุด" คืออะไร? มาดูหน้าตาของเจ้ารถคันนี้กันครับ!!

ที่มา http://55drive.info/wp-content/uploads/fc2image/LR4-2757.jpg

ใช่แล้วครับ!! 

เรากำลังจะพูดถึง Roadster หรือ รถเปิดประทุน เป็นรถที่เหมาะเสียเหลือเกินสำหรับผู้ชื่นชอบการขับรถกินลมเย็นฉ่ำและอากาศแสนบริสุทธิ์ เนื่องจากเมืองท่องเที่ยวในญี่ปุ่น(ไม่ต้องไปไกลจากโตเกียวมากนักก็ได้) หลายเมืองนั้นมีอากาศบริสุทธิ์ที่รอให้เราไปสูดกันให้เต็มปอด มาให้เจ้า Roadster เปิดประทุนคันนี้ได้เป็นผู้ช่วยเติมเต็มความทรงจำบนท้องถนนเมืองญี่ปุ่นให้กับเพื่อนๆ เถอะครับ เชื่อผม!! และถ้าพูดถึงเรื่องค่าตัวแล้วก็ค่อนข้างสูงอยู่ครับ ประมาณ 15,000 - 40,000 เยนต่อวันแล้ว แต่ในมุมของผมแล้วผมคิดว่ามันคุ้มค่ากับการได้มาซึ่งความทรงจำที่ดีครั้งหนึ่งในชีวิต ณ ดินแดนแห่งนี้ เพราะรถประเภทนี้หาเช่ายากมากในบ้านเรา และไม่รู้จะเช่าขับไปทำไมให้เสียดายตังค์ เพราะว่าบ้านเราเมืองเรานั้นอากาศร้อนขนาดไหนก็เป็นที่รู้กันอยู่ ซ้ำยังมีแดดแผดเผาได้เกือบตลอดทั้งปี (และใช่ว่าฉากหลังสวยๆ นั้นจะหาได้ง่ายๆ) แต่ว่าที่ญี่ปุ่นนั้นมันแตกต่างออกไป... เพราะ "ฤดูกาล" นี่แหละครับ

ฤดูกาลนั้นให้ฉากหลังอันงดงามอยู่เสมอ ลองจินตนาการนึกถึงภาพตัวเองนั่งอยู่ในเจ้า Roadster เปิดประทุนกับเพื่อนๆ หรือกับคนรู้ใจ ได้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นความทรงจำแสนพิเศษ โดยมีฉากหลังเป็นญี่ปุ่นในฤดูกาลต่อไปนี้ดูสิครับ

  • ฤดูใบไม้ผลิ ปลายมีนาคม (ช่วงที่พีคที่สุด หรือ Full bloom) ไปจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม ซากุระบานสะพรั่ง กลีบซากุระปลิวลอยละล่องมาตามสายลมเย็นในยามที่ขับรถเปิดประทุนผ่าน กลีบซากุระร่วงลงมาอยู่บนตักของเราได้เลยทีเดียว
  • ฤดูใบไม้ร่วง (ใบไม้เปลี่ยนสี) ต้นเดือนพฤศจิกายน ไปจนถึงต้นเดือนธันวาคม ใบไม้สีส้มแดงแข่งกันร่วงโรย เมื่อเราขับรถผ่านไป มีใบไม้สีส้มแดงปลิวผ่านหน้ารถให้เราเอื้อมมือคว้าเล่นได้แทบตลอดทาง
หลังจากที่ได้มีโอกาสพาคุณภรรยาของผมขับรถเที่ยวท่ามกลางซารุ​กะบานสะพรั่งมาแล้วเมื่อครั้งไปเยือนเกาะซาะโดะ เมื่อได้กลับมาค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับเจ้า Roadster เปิดประทุนนี่แล้วก็เกิดความอยากที่จะรีบหาโอกาส (และทุนทรัพย์) ไปเปิดประสบการณ์แสนโรแมนติกขั้นสุดนี้ในเร็วๆ วัน ส่วนตอนนี้ขอศึกษาดูจากเว็บไซต์รถสปอร์ตให้เช่าในญี่ปุ่นและนำมาแบ่งปันกับเพื่อนๆ กันไปก่อนก็แล้วกัน (ติดตามอ่านเรื่องเที่ยวเกาะซาะโดะได้จากลิงค์ด้านล่างนี้ครับ ^^)

Pause the time at Sado - หยุดเวลาไว้ที่ซาโดะ ตอนจบ


เว็บไซต์รถสปอร์ตให้เช่าที่ญี่ปุ่นก็มีหลายจ้าวด้วยกัน แต่ที่ดูแล้วดังดูแล้วปัง เห็นจะเป็น omoren.com และ windy-car.com นี่แหละครับ ลองเข้าไปชมกันดูได้ครับ ดูรถแล้วอย่าลืมมะโนตามที่ผมบรรยายไว้ถึงการถ่ายรูปในรถกับฉากหลังตามฤดูกาลแสนงดงามที่ญี่ปุ่นด้วยนะครับ อิอิ ヾ(*´∀`*)ノ


เติมเต็มความฝันด้วยรถในฝัน หรือรถในตำนานก็มีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Nissan Skyline GTR-34, GTR-35 (ค่าเช่าตกวันละ 15,000 บาท), Nissan Z350 Fairlady, Honda S2000, Mazda RX-7, RX-8, MX-5 (มีตัวใหม่เครื่อง skyactiv มาให้เช่าขับกันแล้วนะ) Subaru Impreza WRX หรือแม้กระทั่ง BMW Z4 หรือ Mercedes Benz SLK ที่หลายๆ คนใฝ่ฝันอยากจะลองขับสักครั้งนึงก็มีให้เช่าครับ!! 

หมายเหตุ ในเว็บไซต์รถสปอร์ตให้เช่าจะมีการระบุไว้ในเงื่อนไขการเช่าขับไว้ด้วยนะครับว่า "ห้ามนำรถไปขับแบบ Gymkhana" คือการขับแบบรถแข่งดริฟท์หรือการใช้สมรรถนะของรถแบบหมดหลอดนั่นเอง เช่น ขับด้วยความเร็วสูงสุด, การดริฟท์หรือทำให้รถปัด ซึ่งทั้งหมดนั้นนอกจากจะผิดกฏหมายจราจรแล้ว ยังเป็นอันตรายต่อผู้อื่นที่ร่วมใช้ถนนด้วย รวมไปถึงการเกิดความเสียหายกับตัวรถโดยที่บริษัทประกันภัยจะไม่รับผิดชอบค่าเสียหายใดๆ ที่เกิดจากการขับรถโดยประมาทครับ

และทั้งหมดทั้งมวลนี้ ผมก็ขอประมวลภาพจากเว็บไซต์รถสปอร์ตให้เช่าที่ได้แนะนำไปทั้งสองจ้าวมาให้ดูกันไว้เผื่อเป็นแนวทางให้เพื่อนๆ ที่สนใจได้เลือกชมกันครับ ^^



สำหรับทั้งหมดใน Blog นี้ ผมหวังว่าจะช่วยให้เพื่อนๆ ตัดสินใจเลือกเช่ารถขับเที่ยวญี่ปุ่นได้ง่ายขึ้นและได้เที่ยวกันอย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น ตลอดจนถึงการเติมเต็มความฝันและความทรงจำด้วยรถในฝันจากแดนญี่ปุ่น ยังไม่หมดนะครับ!! กับเรื่องราวเกี่ยวกับการขับรถและเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับท้องถนนเมืองญี่ปุ่น เราจะมาพูดถึงเทคนิคการขับรถเพื่อความปลอดภัย ที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุลงได้และสามารถนำไปใช้ได้ในบนท้องถนนทุกแห่งอีกด้วย ไม่จำเป็นต้องใช้เฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น ฟังดูน่าสนใจมั้ยล่ะครับ โปรดติดตามนะครับ กับ Blog หน้า สวัสดีและขอขอบคุณที่ติดตามอ่าน Yuri JT ครับ ^^

บทความล่าสุด