วิธีการเดินทาง
สามารถไปลงที่สถานีรถไฟ Fushimi Inari ของสาย Keihan Main Line หรือไปโดยใช้สาย JR Nara Line มาลงที่สถานี Inari ก็ได้เช่นกัน ถ้ามาจากสาย JR Nara Line พอออกจากสถานีมาก็เจอทางไปศาลเจ้าเลยค่ะ (แต่ก็ยังต้องเดินต่ออีกหน่อยนะคะ) สำหรับศาลเจ้าที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีได้ตลอด 24 ชั่วโมง
…และด้วยคำว่าเข้าชมได้ตลอด 24 ชั่วโมงนี่ล่ะ ทำให้เราและเพื่อนๆ ชะล่าใจไปที่อื่นก่อน และเลือกมาที่นี่เป็นที่สุดท้าย...
ทันทีที่เราออกจากสถานี ทุกอย่างมันเงียบมากค่ะ…ผิดกับบรรยากาศที่เห็นตามอินเตอร์เน็ตตอนกลางวันมาก เพราะ ณ ช่วงเวลานั้นไม่มีร้านค้าใดๆ เปิด ไม่มีคนเดินผ่านไปผ่านมานอกจากพวกเราที่ยืนเอ๋อกันอยู่หน้าสถานี แถมไฟตามข้างทางก็ไม่ได้มากมายเหมือนในโตเกียว เงียบแถมวังเวงมาก ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้เลยว่าที่นี่คือสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังในเกียวโต
…เอาไงดีวะ จะอยู่หรือจะกลับเลยดี…
ตอนนั้นเราและเพื่อนๆ จึงหันมาปรึกษากัน แต่ในเมื่ออุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว ถ้าไม่แวะก็เสียดายแย่ ด้วยความที่เชื่อว่าประเทศญี่ปุ่นค่อนข้างปลอดภัย แถมพวกเราก็ไปกันหลายคน เราจึงตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังศาลเจ้าค่ะ
ระหว่างทางก็เดินหลงบ้าง เพราะทางค่อนข้างมืดก็ได้แต่เปิด GPS ในมือถือแล้วก็เดินๆ ตามกันไป จนในที่สุดเราก็เจอกับทางเข้าศาลเจ้าค่ะ! คิดว่าบรรยากาศค่อนข้างแตกต่างกับตอนกลางวันมากเลยทีเดียว ด้วยความที่คนแทบไม่มี ทำให้พวกเราถ่ายรูปกันสะดวกขึ้น แม้จะวังเวงแต่ก็สวยมากๆ นอกจากกลุ่มพวกเราแล้ว ก็เจอชาวต่างชาติอีกประมาณ 2-3 กลุ่มเล็กๆ
เดินไปตามทางเรื่อยๆ จนเจอแผนที่บอกทาง ซึ่งจู่ๆ ตอนนั้นพวกเราก็ตัดสินใจอยากขึ้นไปถึงยอดเขา (มันใช่เวลาปีนเขามั้ยฟะ) สำหรับเส้นทางจะมีทางแบ่งเป็น 2 ทางค่ะ คือทางลัดที่ไม่ต้องลอดเสา กับทางอ้อมที่มีเสาประตูโทริอิเรียงกันยาวๆ นั่นล่ะ ซึ่งพวกเราเลือกไปทางอ้อม ณ ตอนนั้นอากาศก็เริ่มเย็นลง แถมมืดขึ้นๆ
อย่างที่บอกคงไม่ค่อยมีใครบ้ามาปีนเขากันตอนกลางคืนเหมือนพวกเราเท่าไหร่ ตอนกลางคืนตามทางจึงมีแสงไฟให้เพียงเล็กน้อย จุดไหนที่มืดก็ต้องพึ่งไฟฉายจากมือถือเอา นับว่านี่เป็นภูเขาลูกที่สองในญี่ปุ่นถัดจากภูเขาทาคาโอะที่พวกเราปีนกัน ระหว่างทางก็เจอคนญี่ปุ่นบ้างค่ะ แต่มากัน 2-3 คนไม่ได้เป็นกลุ่มใหญ่ แถมเห็นบางคนมาเดินคนเดียวก็มี…หวังว่าที่มาคนเดียวนั่นจะเป็นคนนะ (T_T)
คุณผู้อ่านทราบมั้ยคะ...ว่าที่ศาลเจ้าแห่งนี้มีตำนานและความลับบางอย่างซ่อนอยู่ด้วย
ว่ากันว่าบางคนเดินแล้วทางหาทางกลับไม่เจอ เดินวนอยู่ในนั้นหลายชั่วโมงบ้าง และยังมีอีกหลายเรื่องที่เป็นเรื่องลี้ลับ แต่จะเป็นตำนานอะไรหากใครสนใจต้องลอง Search หากันดูค่ะ หาภาษาไทยอาจจะไม่ค่อยเจอ คงต้องเป็นภาษาอังกฤษไม่ก็ญี่ปุ่น
เมื่อเดินขึ้นไปถึงจุดบนสุดของศาลเจ้าหรือปลายสุดของอุโมงค์โทริอิ จะเป็นบนยอดเขาพอดี พวกเราใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า (เดินไปบ่นไปตามประสาคนไทย แถมหอบแฮ่กๆ กันจนลิ้นห้อย) ก็มาถึงยอดเขาค่ะ! ตอนนั้นเวลาประมาณสามทุ่มกว่า บรรยากาศวังเวงมาก เพราะมีแค่พวกเรา แต่ในความหลอนก็ยังมีความสวยเพราะสามารถชมเมืองเกียวโตได้ทั้งเมืองจากมุมสูง
นี่ก็พยายามมองหาแท่นอนุสาวรีย์เหมือนที่ภูเขาทาคาโอะ สรุปไม่มีจ้า!
นี่พวกเราถ่อมาตั้งนานเพื่อมาเจอกระดาษ A4 โง่ๆ ใบเดียวที่เขียนด้วยมือตัวใหญ่ๆ ว่า 'ยอดเขา' แปะไว้กับผนังศาลเจ้า นี่มันอะร้ายยยยย!! อย่างน้อยลงทุนนิดนึงเถอะ คำว่า Mountain เขียนเบี้ยวด้วยเห็นมั้ย! ลงสียังเห็นช่องขาวๆ อยู่เลยด้วย (เริ่มพาล)
เมื่อขึ้นมาถึงจุดหมายสมใจ เราก็นั่งพัก พูดคุยและถ่ายรูปกันสักพัก เพราะตอนนั้นคงไม่ใช่เวลาไหว้พระแน่ๆ นี่แอบกลัวเหลือเกินว่ากดชัตเตอร์ไปจะติดอะไรมั้ย หลังจากนั้นพวกเราจึงตัดสินใจกลับค่ะก่อนที่จะดึกมากไปกว่านี้
…แต่ตอนกลับเราเลือกกลับทางลัด และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราคิดผิดไปจริงๆ…
ด้วยความที่ขามากับขากลับเป็นคนละทางกันทำให้เราไม่รู้สึกคุ้นทางเลยสักนิด แถมทางเดินก็มืดจนพวกเราต้องเปิดไฟฉายจากมือถือเดินตลอด แต่ที่พีคคือ พวกเราหาทางลงไม่เจอ
ได้ยินไม่ผิดหรอก เราหลงทางกันบนเขาทั้งๆที่เราก็ถ่ายรูปแผนที่ไว้และเดินตามทางมาแล้ว และเพราะยังอยู่บนเขาทำให้สัญญาณมือถือไม่ค่อยมีจึงไม่สามารถดูแผนที่จาก GPS ได้ อะไรมันจะเหมือนพล็อตหนังได้ขนาดนี้ (T_T)
เราเดินตามทางไปเรื่อยๆ ค่ะไม่คุ้นเลยสักนิด เราไม่สามารถบอกได้เลยว่ากำลังลงเขารึเปล่า เพราะทางมันไม่ได้ลาดลงตลอด แต่ถ้าเดินตามทางไปคิดว่าน่าจะไปถึงทางออกเอง จะหยุดรออยู่ตรงนั้นก็ไม่ได้เพราะคงไม่มีใครมาช่วยแน่ๆ
ตอนนั้นเราแบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อยคือพวกเดินช้ากับเดินเร็ว เราเป็นกลุ่มที่เดินนำไปก่อน ซึ่งระหว่างทางเราต้องเดินผ่านรูปปั้นจิ้งจอก และศาลเจ้าอะไรบางอย่างข้างทาง โดยเส้นทางมีโซ่คล้องกั้นไว้ตลอด แถมมีเดินผ่านเป็นเหมือนสุสานเล็กๆ ด้วย มองไปทางไหนก็ไม่เจอใครเลยนอกจากพวกเรา ในใจที่ก็ภาวนาขอให้ถึงทางออกซะที ที่นี่ที่ไหน ทั้งเหนื่อยทั้งกลัวแถมหนาวอีก
หลังจากที่ใส่เกียร์หมาวิ่งลงมาแบบไม่คิดชีวิต สติหลุดไม่ได้ดูทางข้างหน้า ในที่สุดเราก็เจอกับทางออกค่ะ! เยสสส รอดแล้วโว้ยย!
แต่ทางออกที่เราเจอน่าจะทะลุไปทางด้านข้างของศาลเจ้า จำไม่ได้เหมือนกันว่าวิ่งออกไปโผล่ตรงนั้นได้ไงและออกไปจากศาลเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เห็นแถวนั้นมีแต่บ้านคนทำให้รู้สึกโล่งอกมาก รู้สึกเหมือนอยู่คนละโลกกับที่เมื่อกี้เลย พอรวมทีมครบเท่านั้นล่ะรีบเผ่นกันด้วยความไวแสง
หากใครอยากลองมาสัมผัสกับบรรยากาศศาลเจ้าตอนกลางคืนที่แตกต่างจากเดิมๆ ก็ขอแนะนำที่นี่ค่ะ เพราะสวยไม่แพ้กับตอนกลางวันแน่ๆ...ถึงจะแอบหลอนไปหน่อยก็เถอะ แต่อย่างไรก็ตามการมาเที่ยวกลางคืน ไม่ควรมาคนเดียวค่ะเพราะค่อนข้างอันตรายเลยทีเดียว นับว่าโชคดีจริงๆค่ะที่เราไม่ได้หลงทางจนเกือบต้องนอนในศาลเจ้าคืนนั้น หากวันนั้นกลับลงมาไม่ได้ไม่อยากคิดเลยว่าจะเป็นยังไง
แม้เรื่องราวนี้จะผ่านไปนานแล้วก็จริง แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่เรายังคงติดใจมาจนถึงทุกวันนี้
....เสียงปริศนาที่ได้ยินนั้น...มันคือเสียงอะไรกันแน่?…
ขอขอบคุณรูปภาพบางส่วนจาก : Jindarat Jitampun
neverendingvoyage.comphoto-of-the-week-fushimi-inari-shrine-kyoto/
evacomics.blogspot.com/2015/11/kyoto-trip-fushimi-inari-taisha-at-night.html
รูปภาพที่ถ่ายเองโดยเจ้าของบล็อก ห้ามนำออกไปใช้ต่อก่อนได้รับอนุญาตโดยเด็ดขาด
I LOVE JAPAN GROUP CO.,LTD
Park Ploenchit
61/7 Sukhumvit 1 Road Khongtoey Nua
Wattana Bangkok, Thailand, 10110
info@ilovejapan.co.th