t ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น

ขับตะลุยตะกุยหิมะฮอกไกโด

ขับตะลุยตะกุยหิมะฮอกไกโด

By , Friday, 16 December 2016

สวัสดีเพื่อนๆ พี่น้องชาว ilovejapan.co.th ครับ ช่วงฤดูหนาว (ธ.ค.- มี.ค.ของทุกปี) ใครมีแผนจะเที่ยวฮอกไกโดด้วยการขับรถเที่ยว ผมขอเชิญให้อ่านดูรีวิวนี้เผื่อจะเป็นประโยชน์ในการเตรียมตัวของเพื่อนๆ ที่กำลังจะไปขับรถลุยหิมะกันนะครับ สวัสดีอีกครั้ง Yuri ​​JT มารายงานตัว หลังจากเงียบหายไปตั้งตัวพักใหญ่ ฮ่าๆ ก็เคลียร์งานเคลียร์การ ทำงานบ้านงานเรือน เลื่อนนัดเพื่อนทั้งหมด งด hangout กินดื่ม เพื่อวางแผนเที่ยวจังหวัดฮอกไกโดมาครับ โดยมีเป้าหมายคือเที่ยว 1 วัน ให้ได้ 3 สถานที่ท่องเที่ยวโดนๆ โดยเริ่มต้นเดินทางจาก Hakodate (ฮาโกดาเตะ) ซึ่งสถานที่เที่ยวอันน่าสนใจทั้ง 3 แห่งนั้น ก็มีดังนี้ครับ

1. Noboribetsu Bear Park (สวนหมี โนโบริเบ็ทสึ) เมืองโนโบริเบ็ทสึ

2. Shiroi Koibito Park (ชิโร่ย โคยบิโตะ พาร์ค) เมืองซัปโปโร

3. Otaru Music Box Museum (พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี) เมืองโอตารุ

ดูจากระยะทางของแต่สถานที่แล้วคงต้องบอกได้อย่างเดียวล่ะครับว่า "ต้องขับรถ" เท่านั้น ถึงจะทำให้เราได้ไปเหยียบด้วยกันทั้งหมด 3 เมือง บนเกาะฮอกไกโดภายใน 1 วัน

ปล.เอาจริงๆ ผมว่ามันฟังดูคล้ายๆ กรุ๊ปทัวร์นั่งรถบัสไป "ฉี่ - ช็อป - แชะ" เหมือนกันนะเนี่ย ^^" ... แต่ต่างกันตรงที่เราไม่ต้องนั่งรถบัสฟังไกด์พูดพร่ำทำเพลงยาวนานเป็นครึ่งค่อนวัน เพราะเราจะไปตะลุยตะกุยหิมะกันด้วยรถยนต์เช่าขับเองครับ!! 

เส้นทางก็ไม่ใกล้ไม่ไกลมากครับ มีระยะทางเพียง 390 กิโลเมตร น้อยกว่าขับรถไปกลับ กรุงเทพฯ - หัวหินเสียอีกนะเออ ^^"

จากบล็อกที่แล้วที่เราพูดถึง "การเลือกรถเช่า ที่ใช่" กันจนมาถึงบล็อกนี้ ผมได้ใช้หลักเกณฑ์ที่กล่าวไว้มาประกอบการเลือกสรรให้ได้รถยนต์ที่เหมาะกับการเดินทางท่องเที่ยวจังหวัดฮอกไกโดในฤดูหนาวที่อาจจะต้องบุกตะลุยตะกุยฝ่าหิมะ ต้องหารถที่มีสมรรถนะดี สามารถนั่งและขนสัมภาระที่พะรุงพะรังได้แบบสบายๆ และมีตัวช่วยเสริมเพื่อให้เราสามารถขับรถไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตโนมัติ" หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อ AWD (All Wheel Drive) นั่นเองครับ ซึ่งเจ้าตัวช่วยเสริมนี้ ผมได้นำเสนอไปในบล็อกที่แล้ว หากเพื่อนๆ ยังไม่ได้อ่านและอยากรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของมัน สามารถย้อนอ่านกันได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้ครับ ^^ 

http://www.ilovejapan.co.th/travel/entry/choose-the-rental-car-in-japan-1

Subaru Levorg คือคำตอบครับ ด้วยเครื่องยนต์ 1,600 cc twin power turbo (แบบเดียวกับ Mini Cooper S) ให้กำลังแรง เร่งแซงได้สบาย มีความจุบรรทุกของได้มากโข... ดูจากภาพมุมท้ายรถนะครับ กระเป๋าไซส์ 26 นิ้ว กับ 29 นิ้ว อย่างละ 1 ใบ สามารถใส่เข้าไปตอนท้ายรถได้สบายๆ และก็ยังเหลือพื้นที่ให้ขนของได้อีกเยอะเลย แต่พอดีว่าเราไปกันแค่ 2 คน เลยมีของให้ขนแค่นี้ครับ (ฮ่าๆ  ^0^) หากเพื่อนๆ คิดจะเช่ารถรุ่นนี้เหมือนกัน ผมก็แนะนำว่าควรจัดทริปไปกัน 4 คน จะได้นั่งเจ้า Levorg คันงามนี้แบบพอดีๆ ไม่หลวมไม่คับอึดอัดกันจนเกินไป และที่สำคัญก็คือ "คุ้มราคาค่าเช่ารถแน่นอน" เพราะว่าหาร 4 ย่อมดีกว่าหาร 2 นะฮะ...​ อ่ะจึ๊ยย!! ^^

ปล. รถรุ่นนี้ถ้านั่งเกิน 4 คนจะคาดเข็มขัดนิรภัยกันได้ไม่ครบจำนวนผู้โดยสารมีโอกาสจะโดนคุณตำรวจแจ้งข้อหากระทำผิดกฏจราจรเอาได้นะครับ ^^"

ขั้นตอนการเช่ารถนั้น ไม่มีอะไรยุ่งยากมากครับ เริ่มจากการเข้าไปดูเว็บของบริษัทรถยนต์ให้เช่ากันก่อนเป็นอันดับแรกเลยครับ (ขออนุญาตนำเสนอตัวอย่างจากเว็บไซต์ของบริษัทรถเช่าที่ผมเพิ่งไปใช้บริการมานะครับ) https://www.nrgroup-global.com/en/

- อ่านรายละเอียดประกอบกับดูตามภาพสไลด์ด้านล่างนี้นะครับ -

เลือกเมนู Car Guide & Price Table (ตรงแถบเมนู)

จากนั้นจะปรากฎแคตตาล็อกแยกตามขนาดของรถ และจะมีปุ่ม "See the Price Table"

เมื่อคลิกเข้าไปเว็บจะแสดงตารางราคาซึ่งแยกตามฤดูกาลของแต่ละภูมิภาค

​หรือจะค้นหา Location ของสาขาแบบนี้... ก็ได้เช่นกัน ^^

ลงมือจองรถกันเลย!! 

- อ่านรายละเอียดประกอบกับดูตามภาพสไลด์ด้านล่างนี้นะครับ - 

1. เมื่อตัดสินใจเลือกรถได้ก็ทำการลงวันที่และเวลาที่ต้องการจะรับและคืนรถ (ที่ญี่ปุ่นเวลาในการคืนรถเป็นสิ่งที่เขาเคร่งครัดมาก หากเราคืนรถสาย จะถูกคิดค่าเช่าเพิ่มเป็นรายชั่วโมงโดยมีระบุไว้ในเงื่อนไขการเช่าครับ) จากนั้นเลือกสาขาที่ต้องการรับและคืนรถ ซึ่งถ้าหากเป็นสนามบินจะมีช่อง Airline select ให้เราเลือกสายการบินและเที่ยวบิน ซึ่งหาไม่เลือกก็สามารถลงเป็น Unfixed ไปได้เช่นกัน และก็กดค้นหา (Search)

2. ในตัวอย่างผมเลือกที่จะคืนรถต่างสาขา ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ก็คือค่า Drop off หรือค่าบริการคืนรถต่างสาขาหรือต่างเมือง

3. เลือกประเภทหรือรุ่นของรถที่ต้องการ มีการแบ่งเป็นประเภท "Standard, Luxury, Stationwagon & SUV และอื่นๆ พร้อมกับแสงราคาค่าเช่าที่รวมค่า Drop off charge มาแล้ว ในตัวอย่างนี้ผมเลือก Staton wagon & SUV จากนั้นก็กด "Choose this class"

4. เลือกแบบแผนการประกันภัย (ประกันอุบัติเหตุแบบเหมาจ่าย) สามารถกด HERE เข้าไปอ่านดูรายละเอียดได้

5. เลือกอุปกรณ์เสริมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่นั่งทารก เด็กอ่อน และเด็กโต

6. บัตรทางด่วน (Expressway Pass) แบบเหมาวัน, ETC card ซึ่งเหมือนบัตร Easy Pass บ้านเรา แต่ต่างกันที่เราไม่ต้องเติมเงินไว้ก่อน จ่ายค่าผ่านทางพิเศษ(Expressway)ในตอนคืนรถ (บัตรจะบันทึกข้อมูลไว้ว่าเราใช้ทางด่วนจากจุดไหนไปจุดไหนแล้วคำนวณเป็นค่าใช้จ่าย, อุปกรณ์สกี หรือแม้แต่การให้นำสัตว์เลี้ยงโดยสารรถก็มีให้เลือก (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) และที่สำคัญที่สุดคือ "ยางลุยหิมะ" (Snow Tire) ซึ่งถ้าเราเช่ารถในภูมิภาคและช่วงฤดูที่มีหิมะ จะถูกบังคับให้เลือกอุปกรณ์เสริมตัวนี้เพิ่มโดยอัตโนมัติครับ (จะได้เพิ่มความปลอดภัย อุ่นใจ กันเนอะๆๆ ^^)

7. แสดงผลการจองและราคารวมค่าเช่าโดยประมาณ (Estimated total) จากนั้นก็กดจองได้เลย!!


​จากนั้นเราต้องกรอกรายละเอียดเกี่ยวกับใบอนุญาตขับรถ เลือกที่ออกใบอนุญาตเป็น "Thailand" ระบบจะบังคับให้เลือก "1949 international driving permit"

ต่อมาก็กรอกชื่อ, ที่อยู่, อีเมล์, โรงแรมที่พัก และใส่เลขบัตรเครดิตลงไปในแบบฟอร์ม (ระบบจะไม่ตัดค่าใช้จ่ายออนไลน์ เราต้องนำบัตรใบที่กรอกไว้นี้ไปแสดงและรูดชำระเงินตอนรับรถอีกครั้ง) เสร็จแล้วก็กดจอง (View your reservation)

เสร็จสิ้นการจองที่หน้าเว็บไซต์ ระบบจะส่งอีเมล์มาหาเรา (ตามที่อยู่อีเมล์ที่เรากรอกไว้ในแบบฟอร์มการจอง) เป็นยืนยันการจองพร้อมรายละเอียดทั้งหมดที่เราได้เลือกไว้ ซึ่งอีเมล์นี้จะไม่สามารถตอบกลับได้หากต้องการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการจองใดๆ จะมีอีเมล์เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่บริการลูกค้าโดยเฉพาะแนบมาให้เรา เราสามารถส่งไปถามเขาได้ตลอด จะมีเจ้าหน้าที่ตอบกลับขอซักถามหรือยืนยันการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการจองรถของเราตลอด (ใช้เวลาไม่เกิน 1 วัน ในการตอบกลับทุกครั้ง จากประสบการณ์ที่ได้รับมาครับ ^^)



ในเช้าอันสดใสท่ามกลางหิมะโปรยและแสงแดดอ่อนๆ ที่ฮาโกดาเตะ ผมเดินจากโรงแรม Hotel Resol Hakodate ผ่าน JR Hakodate ไปประมาณ 400 เมตร เพื่อไปรับรถที่ได้ทำการจองไว้ (เมื่อประมาณ 2 เดือนก่อนเดินทางมา) นับเป็นโชคดีที่ผมมาถึงฮาโกดาเตะในวันที่พายุหิมะย่อมๆ พัดเข้ามาแล้วหยุดในคืนก่อนเดินทางพอดี เช้ามาจึงได้เห็นสภาพนี้ ในใจผมนั้นหวั่นอยู่เหมือนกันว่าจะเจอหิมะหนาเกินไปจนอาจทำให้ขับรถลำบากและไม่สามารถทำเวลาเดินทางได้ตามที่วางแผนเอาไว้

แต่เมื่อสำรวจดูจากการเดินเท้ามา 400 เมตรเพื่อไปรับรถเช้านี้ ผมเริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้างแล้วว่าจะสามารถขับรถได้ไม่ยากลำบากเกินไปนัก และนี่คือการขับรถลุยหิมะเป็นครั้งแรกในชีวิตของผมครับ ^^

เดินตาม Google map ไปผ่านหน้าสถานี JR Hakodate ประเมินด้วยสายตาแล้ว... ผมว่าหิมะบนถนนดูไม่ค่อยหนา (โล่งใจได้ระดับนึง) จากนั้นก็เดินเลยต่อไปจนถึงโรงแรม Route Inn Grantia Hakodate แล้วเลี้ยวเช้าซอยข้างโรงแรมไปนิดนึงก็ได้เจอกับร้านรถเช่า Nippon Rent A Car แล้วครับ แหม... เขาเตรียมรถไว้รอผมอยู่เลยนะเนี่ย (ที่เห็นท้ายแดงๆ อยู่คันเดียวนั่นแหล่ะครับ อิอิ) เห็นแล้วชื่นใจจริงๆ ^^


ไม่รอช้าสิครับ รีบเข้าไปรับรถกัน!! เนื่องจากเวลามีจำกัด เพราะเราต้องเดินทางไปอีกเกือบ 400 กิโลเมตร แถมถนนหนทางก็ถูกปกคลุมไว้ด้วยหิมะแทบจะตลอดทั้งเส้นทางของเราแล้วด้วย จากที่ผมเช็คสภาพอากาศผ่าน application มือถือ ประกอบกับเว็บไซต์ tenki.jp มาแล้ว ก็ทำให้ได้รู้ว่าในวันนี้ พื้นที่ฮาโกดาเตะ-นานาเอะ-โนโบริเบ็ทสึ ยาวไปจนถึงซัปโปโรนั้น ถูกพายุหิมะขนาดย่อมๆ ถล่มไว้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อวานครึ่งวันบ่ายและเมื่อคืนตลอดทั้งคืน

มารับรถเช่าที่จองไว้ครับ!! สรุปย่อๆ เป็นขั้นๆ ตอนๆ ได้ตามนี้ครับ

1. เริ่มด้วยการแจ้งชื่อผู้จองรถจากนั้นเจ้าหน้าที่จะเตรียมเอกสารประกอบการเช่ารถมาให้เราดูเงื่อนไข และเซ็นรับทราบ

2. เจ้าหน้าที่จะขอดูบัตรเครดิตที่เราใช้ทำการจองรถผ่านเว็บไซต์มา แล้วก็ขอรูดชำระเงิน(หากไม่ได้นำบัตรใบนั้นมาหรือต้องการชำระด้วยใบอื่นก็สามารถแจ้งเขาได้ครับ) เมื่อชำระเงินเรียบร้อยจะได้ใบเสร็จมา ก็ให้เก็บไว้จนกว่าจะคืนรถนะครับ

3. เจ้าหน้าที่จะอธิบายกฎจราจรของที่ญี่ปุ่นแบบสั้นๆ คร่าวๆ กับเราเกี่ยวกับสัญลักษณ์จราจรต่างๆ ที่สำคัญ และให้ User Guide กับเรามา(ขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาเนื่องจากรีบ) ซึ่งจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับเบอร์โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือต่างๆ รวมถึงรหัสจีพีเอสของศูนย์บริการรถเช่าสาขาอื่นๆ บนฮอกไกโดเผื่อว่าเราจะคืนรถที่อื่นๆ เราก็สามารถป้อนรหัสนี้ใส่เครื่องจีพีเอส เพื่อให้นำทางเราไปยังสาขานั้นๆ ครับ และในคู่มือยังมีตำแหน่งของสถานีบริการน้ำมันที่อยู่ใกล้เคียงสาขาต่างๆ ของเขาด้วย  แหม...เรียกว่าสะดวกครบครันเลยทีเดียวครับ ^^

4. เสร็จเรียบร้อยจากเรื่องเอกสารก็ออกไปเซ็คดูสภาพรถกันตามระเบียบครับว่า ตรงไหนมีริ้วมีรอยมีบาดแผลบ้าง ให้เขาจดบันทึกไว้ จะได้รู้ว่ามันมีแผลอยู่ตรงไหนมาก่อน ตอนคืนรถจะได้ไม่ต้องมาถามกันอีกครั้ง(แต่ถ้าซื้อประกันแล้วไม่ต้องห่วงครับ เขาไม่ซีเรียสเลย) รวมถึงสภาพยางลุยหิมะที่เขาให้มาด้วย ซึ่งวิธีดูง่ายๆ ก็คือดอกยางนั้นยังเต็มอยู่ไม่ใกล้สึกเกือบถึงร่องดอกยางเป็นอันใช้ได้ และเจ้าหน้าที่จะสอนวิธีใช้อุปกรณ์จำเป็นภายในรถ เช่น ที่เปิดฝาถังน้ำมัน เบรคมือ สวิตช์ไฟหน้า ฯลฯ

5. สุดท้ายก็ขับออกมาด้วยความมั่นใจ แต่ไม่แน่ใจกับพื้นหิมะที่รออยู่ข้างหน้า (มุขนะครับ ต้องมั่นใจสิครับ เพราะเรามีอุปกรณ์เสริมเป็นยางลุยหิมะแล้วนี่นา ^^")

​เรามาพูดถึงอุปกรณ์เสริมที่เป็นพระเอกคนสำคัญของงานนี้อย่าง "Snow tires" หรือเจ้ายางลุยหิมะ กันสักนิดนึงครับ เพราะถ้าไม่มีเจ้ายางชนิดนี้ ผมคงจะขับออกไปไม่ได้ไกล!! (ไม่ลื่นไถลไปชนรถอื่น ก็คงโดนตำรวจเรียก)

Snow tires หรือฝรั่งเรียกกันอีกอย่างนึงว่า "Winter tires" เป็นยางที่ถูกออกแบบมาให้ทนต่อการใช้งานในอุณหภูมิต่ำๆ ได้ ในฤดูหนาวที่ท้องถนนนั้นถูกปกคลุมไว้ด้วยของขวัญจากความหนาวเย็นสุดขั้ว ทั้งหิมะที่เพิ่งตกใหม่ๆ ยังเป็นผงแป้ง (Powder) ทั้งหิมะที่ทับถมมานานหลายชั่วโมงจนจับตัวอัดแน่นเกือบจะเป็นน้ำแข็ง ทั้งพื้นถนนที่เปียกชื้น และพื้นถนนที่ถูกคลุมไว้ด้วยน้ำแข็งประหนึ่งว่าเป็นลานสเก็ตน้ำแข็งกันเลยทีเดียว ซึ่งในหลายประเทศที่เป็นเมืองหนาวนั้นได้ออกกฏหมายบังคับให้ผู้ใช้รถใช้ถนนต้องเปลี่ยนมาใช้ยางชนิดนี้ในฤดูหนาวกันเลยทีเดียวล่ะครับ

โดยเจ้ายางชนิดนี้จะมีร่องดอกยางที่กว้างกว่ายางธรรมดาทั่วไป เพื่อเอาไว้เพิ่มแรงเสียดทานให้รถนั้นยึดเกาะถนนได้ดีขึ้น ถ้าจะเปรียบเทียบหลักการนี้ให้เห็นภาพก็จะได้ประมาณว่า ร่องดอกยางที่มีขนาดกว้างเป็นพิเศษนั้นเป็นเสมือนช้อนตักไอศกรีมนับร้อยๆ คัน ติดอยู่กับยางรถเพื่อให้มันได้ตักๆ และตะกุยๆ ลงไปบนพื้นหิมะในทุกๆ รอบที่ยางรถนั้นหมุนบดไปกับพื้นหิมะ ลดโอกาสที่จะเกิดการลื่นไถลในขณะที่รถวิ่งผ่านไปบนพื้นหิมะด้วยความเร็ว (แนะนำว่าไม่ควรใช้ความเร็วสูงมาก)

ดูจากภาพประกอบ เราจะได้เห็นยางลุยหิมะแบบที่มีหมุดโลหะคล้ายๆ กับหัวตะปูฝังไว้บนดอกยาง ซึ่งแบบนี้จะช่วยตะกุยตัดพื้นผิวน้ำแข็งที่มีแรงเสียดทานต่ำมาก ซึ่งยางรถแบบธรรมดาไม่สามารถแล่นไปบนพื้นน้ำแข็งได้เพราะจะลื่นไถลในระดับที่ควบคุมไม่ได้ แต่ยางลุยหิมะชนิดนี้จะช่วยให้สามารถควบคุมรถได้ดีขึ้น (ยังลื่นไถลอยู่ แต่จะน้อยลง)

ยางลุยหิมะหรือ Snow tires นั้น จะมีสัญลักษณ์เป็นรูปเกล็ดหิมะเป็นตัวนูนอยู่ที่ข้างแก้มยาง เพื่อนๆ ที่ไม่มั่นใจในขณะที่รับรถเช่าก็สามารถสังเกตดูกันได้ครับ แต่ 100% ของร้านรถเช่าจะบังคับให้เราใช้ Snow tires และต้องจ่ายเพิ่มให้กับมัน เพื่อความปลอดภัยและเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายการใช้รถใช้ถนนในฤดูหนาวของบ้านเมืองเขาด้วย

8:30 น. โดยประมาณ หลังจากที่รับรถจากร้าน Nippon-Rent-A-Car แล้วก็วนกลับมารับคุณภรรยาและสัมภาระที่โรงแรม Hotel Resol Hakodate แล้วเราก็เริ่มออกเดินทางกัน มุ่งหน้าตาม GPS ของรถไปเรื่อยๆ ซึ่งต้องขอบอกเลยว่า GPS ของเค้ามีความแม่นยำในเส้นทาง, ต้องเลี้ยวตรงไหน, มีจุดสังเกตอะไร และจุดที่ควรเพิ่มความระมัดระวัง เช่น จุดที่จะมีรถเข้ามาร่วมทางหลัก เป็นต้น

เรามุ่งหน้าฝ่าหิมะกันออกจากเมืองฮาโกดาเตะเพื่อไปขึ้น Express way ข้ามเมือง ซึ่งเริ่มจากเขตนานาเอะ (Nanae) มุ่งหน้าสู่โนโบริเบ็ทสึ (Noboribetsu) ผ่านอีกหลายเขตเป็นระยะทางประมาณ 210 กิโลเมตร ซึ่งจะต้องใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง เป็นอย่างต่ำ

บรรยากาศในการขับรถลุยหิมะเป็นครั้งแรกในชีวิตเริ่มทวีความเข้มข้นขึ้นทุกกิโลเมตรที่รถขับผ่านไป ผมได้เห็นทั้งพื้นถนนที่ขาวโพลน และพื้นถนนสีเทาดำ สลับกันไปมาในแต่ละพื้นที่ที่ขับผ่านไป ความตื่นเต้นถาโถมเข้ามาจนมือไม้นั้นเกร็งไปหมด แต่ก็มิวายที่จะตั้งข้อสังเกตและพอจะสรุปเป็น Trickในการขับรถลุยหิมะออกมาได้ประมาณนี้ครับ

1. รถที่นู่นส่วนมากจะขับชิดเลนซ้ายกันยาวๆ และไม่ใช้ความเร็วสูง คือ... ถ้าไม่รีบจริงๆ จะไม่ออกเลนขวากันเลย

2. การที่เลือกขับชิดซ้ายกันเป็นส่วนใหญ่เป็นการช่วยกันเคลียร์หิมะออกไปจากพื้นถนนด้วยยางรถยนต์ 

3. เมื่อพื้นถนนเคลียร์ คนอื่นๆ จะได้เห็นพื้นถนนเลนซ้ายเป็นเส้นทางให้ขับตามได้ชัดเจนและง่ายกว่าการขับเลนขวา

4. เมื่อมีเส้นทางให้ขับตามได้ก็จะลดโอกาสการขับเข้าไปล้ำเส้นฝั่งรถสวน หรือปีนขึ้นไปขนเกาะกลางถนน เพราะสภาพถนนอย่างที่เห็นในรูปนั้นแทบไม่มีเส้นถนนให้เราได้ดูเลยว่า "นี่... เรายังอยู่ในเลนของเราอยู่ใช่ป่ะ??" หรือถ้ามองเห็นก็เลือนลางเต็มที

และการที่สรุปเป็นออกมาได้เป็นข้อๆ นั้นก็ต้องอาศัยการได้มาขับเองจริงๆ ประกอบกับที่เคยอ่านๆ และฟังๆ คนอื่นเขามาเกี่ยวกับ...

ข้อควรรู้และควรระวังต่างๆ ดังนี้

1. ในเขตพื้นที่ชุมชนเมือง ความเร็วที่จำกัดให้ใช้คือ 50 กม./ชม. แต่อนุโลมให้ขับได้ไม่เกิน 80 กม./ชม.

2. ทางข้ามตามสี่แยกไฟแดงทุกแยกที่มีทางม้าลาย รถจะต้องหยุดให้คนข้ามไปให้หมดก่อนเสมอ ไม่ว่าสัญญาณไฟจะเป็นไฟเขียวแล้วก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น ผมขับรถเลี้ยวซ้าย ซึ่งเป็นทางผ่านตลอด เมื่อเจอคนข้ามทางม้าลายซึ่งฝั่งคนข้ามเขาก็เป็นสัญญาณไฟเขียวคนข้ามเหมือนกัน ผมต้องหยุดให้เขาข้ามไปก่อนจึงจะเคลื่อนรถผ่านไปได้

3. สี่แยกไฟแดงที่ไม่มีสัญญาณไฟเขียวเลี้ยวขวา สามารถเลี้ยวขวาได้เมื่อได้รับสัญญาณไฟเขียวตรง แต่ต้องรอให้ปลอดภัยก่อนจึงจะเลี้ยวไปได้ (ต้องให้รถทางตรงไปก่อนเสมอ) และเราสามารถเคลื่อนรถไปรอเลี้ยวขวาที่กลางแยกได้ด้วย แต่ต้องใช้ความระมัดระวังกันมากๆ หน่อยนะครับ ^^

4. สี่แยกที่มีไฟแดงกระพริบพร้อมกับมีไฟเขียวเลี้ยวขวาหมายถึงว่า ถ้าคุณจะเลี้ยวขวาต้องหยุดรถอยู่หลังเส้นหยุดรถ ไม่สามารถเคลื่อนรถไปรอเลี้ยวที่กลางแยกได้เหมือนแยกทั่วๆ ไป

5. บนไฮเวย์หรือ Express way สามารถใช้ความเร็วได้ 80 กม./ชม. และอนุโลมให้ขับได้ไม่เกิน 110 กม./ชม. (อันนี้คล้ายๆ ที่บ้านเรา) และต้องระวัง ไม่วิ่งเลนขวายาวตลอดทาง เพราะอาจจะเจอคุณตำรวจที่คอยตรวจตราอยู่ตามข้างทาง ตามมาเรียกให้เราหยุดรถและแจ้งข้อหาขับรถโดยประมาทเอาได้ เพราะฉะนั้นอย่าเหยียบเพลินกันนะคร้าบ ^^"

6. การแซงซ้ายนอกจะผิดกฎหมายแล้ว ยังอันตรายมากบนถนนที่เต็มไปด้วยหิมะ เพราะการที่รถวิ่งมาด้วยความเร็วสูงแล้วปาดเข้าเลนขวาที่มีหิมะปกคลุมถนนมากกว่า อาจทำให้รถเกิดการลื่นไถลได้เลยทีเดียวด้วย

7. การเปลี่ยนเลนที่ความเร็วสูงเกิน 80 กม./ชม. ถือว่าผิดกฎหมาย และอาจจะโดนเรียกและแจ้งข้อหาขับรถโดยประมาทได้เช่นกัน

ที่มา https://2.bp.blogspot.com/-uiAW7QPd1Yg/Vs3AYDTTpII/AAAAAAAAPmo/vbiAI9VGo2k/s1600/DSC03660.JPG

เวลาขึ้นทางด่วน (Express Way) ให้มองหาป้ายไฟ ETC ซึ่งมีอยู่ทุกด่านครับ ควรขับเข้าไปด้วยความไม่เร็วเกิน 20 กม./ชม. เซ็นเซอร์จะอ่านบัตรซึ่งเสียบอยู่กับเครื่อง ETC ในรถเราเพื่อบันทึกค่าใช้จ่าย และไม้กั้นก็จะเปิดออก (คล้ายๆ กับ Easy pass บ้านเรา)


วีดีโอนี้เป็นบรรยากาศในการขับรถฝ่าพายุหิมะ(ระดับเบาบาง) เพื่อนๆ จะได้ไม่ต้องนึกภาพบรรยากาศตอนรถวิ่งฝ่าไปในหิมะโปรยกันให้เสียเวลา ลองดูกันแล้วคิดตามกันนะครับว่า "ถ้าได้ไปลองสักครั้ง จะรู้สึกอย่างไร" ผมเดาได้ว่าหลายๆ คนคงจะคิดว่าสวยดี 

ใช่แล้วครับ เป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆ ที่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้ สวยงามแปลกตาแบบนี้ และจะอยู่ในความทรงจำไปอีกยาวนาน และอยากจะเสริมอีกนิดนึงครับว่า "ง่ายกว่าขับรถฝ่าสายฝนเป็นสิบๆ เท่าเลยครับ" เพราะเกล็ดหิมะที่ปลิวมาถึงจะหนาไปบ้าง แต่มันไม่เกาะกระจกหน้ารถเลยครับ ปลิวผ่านไปเหมือนฝอยกระดาษชิ้นน้อยๆ นับหมื่นนับแสน ที่ลอยละล่องอยู่ในสายลม ทัศนวิสัยในการขับรถครั้งนี้ถือว่าสบายๆ ซ้ำยังไม่ต้องคอยปัดกระจกหน้าบ่อยๆ อีกด้วย กลับกันคือกระจกด้านหลังเสียอีกที่ต้องคอยปัดอยู่เรื่อย เพราะเป็นฝ้าและมีคราบน้ำแข็งเกาะอยู่ตลอดเวลา คราบน้ำแข็งอันเกิดมาจากการที่รถวิ่งลุยไปบนถนนแล้วหิมะบนพื้นถนนซึ่งมีมวลหนาแน่นมากกว่าหิมะที่ลอยอยู่ในอากาศนั้นถูกตะกุยขึ้นมาจากพื้นถนนแล้วปลิวมาจับอยู่ที่ตอนท้ายของรถ รวมถึงกระจกบานหลังด้วยนั่นเอง 

และที่ต้องระวังอยู่อีกเรื่องนึงก็คือ ฝ้าที่อาจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันถ้าเราตากแดดมากเกินไป... เอ้ย!! คนละฝ้าแล้ว!! >w< ล้อเล่นครับ ฝ้าที่เกิดฉับพลันบนกระจกหน้ารถนี่แหละครับ เกิดมาจากการที่อุณหภูมิภายนอกรถนั้นต่ำ แต่อุณหภูมิภายในรถนั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะเราเปิดฮีตเตอร์ทิ้งไว้ต่อเนื่องยาวนาน (ฮีตเตอร์นั้นมีในรถทุกรุ่นครับ หนาวๆ มาเข้ารถก็รู้สึกอุ่นสบายจนลืมตัวกันเลยทีเดียว) นั่นแหละครับทำให้กระจกขึ้นฝ้าได้อย่างฉับพลัน รู้ตัวอีกทีก็มองอะไรแทบไม่เห็นซะแล้ว ต้องระวังคอยดูระบบไล่ฝ้ากันอยู่เรื่อยๆ (มันมีสวิตช์อยู่แถวๆ แผงควบคุมแอร์นั่นแหละครับ) แค่ต้องปรับได้เหมาะสม หรือแค่เปิดระบบปรับอากาศ(ฮีตเตอร์)แบบ Auto ไปเลย อาจจะทำให้เราหนาวเกินไปบ้าง แต่ฝ้าก็จะไม่รบกวนทัศนวิสัยของเราอีกต่อไปแล้วล่ะครับ ^^

​10:00 น. ขับมาต่อเนื่องยาวนานกว่าชั่วโมงครึ่ง เริ่มมีความเมื่อยล้า(เกร็งครับ... ขับท่ามกลางหิมะครั้งแรกในชีวิต) ความหนาวเหน็บนั้นทำให้ปริมาณน้ำในร่างกายไม่สมดุล ต้องหาห้องน้ำเข้ากัน ^^ ยังไม่ได้กินมื้อเช้ากันเลย ได้แต่เตรียมแซนด์วิชมากันคนละ 1 ชิ้น แต่ยังไม่ได้กินเพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับหิมะขาวโพลนกัน ระยะทางตอนนี้ผ่านมากว่า 100 กม. ครึ่งทางแล้ว... แต่เรายังคงอยู่บนไฮเวย์หรือ Express way ครับ ปั๊มน้ำมันไม่มีเหมือนบ้านเรา คือ...​ตลอดทางที่ผ่านมากว่า 100 กม. ไม่มีปั๊มน้ำมันเลย!! คือต้องเติมกันมาให้เต็มถังถ้าคิดจะยิงยาวบนไฮเวย์เส้นนี้จริงๆ ครับ ไม่เช่นนั้นอาจจะน้ำมันหมดกลางทางได้!! 

ไม่มีปั๊มให้แวะเข้าห้องน้ำทำยังไงดี?? คำตอบคือ... จุดพักรถริมทางซึ่งจะถูกแยกออกมาจากถนนหลักเหมือนเลี้ยวเข้าปั๊มที่เป็นจุดพักรถใหญ่ๆ ตามทางหลวงบ้านเรานั่นแหละครับ แตกต่างกันตรงจุดพักรถนี้ไม่มีสถานีบริการเติมน้ำมันนั่นเอง แต่มีบริการห้องน้ำสะอาดและร้านกาแฟครับ ก็แวะกันเพื่อรีเฟรชตัวเอง กดกาแฟร้อนจากตู้ขายของอัตโนมัติ(ขี้เกียจเดินไปร้านกาแฟเพราะจอดรถไกลและมันหนาวมาก) ดื่มน้ำ กินแซนด์วิชที่ซื้อเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนออกเดินทางมา เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย และพร้อมที่จะเดินทางไปต่ออีก 1 ชั่วโมงกว่า

พอทุกอย่างลงตัวแล้วก็ออกรถ!! ไปกันต่อเลยครับ!!

เส้นถนนที่แทบจะมองไม่เห็น แต่รอยล้อรถที่วิ่งเคลียร์หิมะไว้นั้น ทำให้เราขับตามได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าเจอหิมะตกหนักกว่านี้ล่ะก็... ทางใครทางมันล่ะครับ ^^"

11:30 น. โดยประมาณ GPS ก็พาเราออกจาก Express Way ลงสู่ Noboribetsu (โนโบริเบ็ทสึ) เมืองสวรรค์ของคนรักออนเซ็น ขับตาม GPS ไปเรื่อยๆ ก็จะได้พบกับยักษ์วัดแจ้ง!!! เอ้ยย!! ยักษ์แดงแห่งจิโงะคุดานิ (Jigokudani) หรือหุบเขานรกแห่งฮอกไกโดที่มีควันพวยพุ่งออกมาจากบ่อโคลนและบ่อน้ำร้อนธรรมชาติ (ใครที่ดู Fanday แล้ว ก็คงพอนึกกันออก)

ที่มา http://chibaphoto1.sakura.ne.jp/noboribetu/nobori3311.jpg

นี่ไงครับ... ยักษ์วัดแจ้ง!! เฮ้ยย!! ยักษ์แดงแห่งจิโงะคุดานิ ยืนตระหง่านตัวเบ้อเริ่มอยู่ริมถนนใกล้ๆ ทางเข้าอุทยานแห่งชาติชิโคะสึ-โทยะ (Shikotsu – Toya National Park) แต่เราไม่ได้เข้าไปนะครับ เราแค่ผ่านมาเฉ๊ยๆ ^^"

เที่ยงกว่าๆ เราก็มาถึงสวนหมี Noboribetsu Bear Park ใช้เดินทางมา 3 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งผมว่าไม่ช้าเกินไปสำหรับการขับฝ่าหิมะมา 200 กว่ากิโลเมตร 

มาถึงแล้วก็ไม่รีรอสิครับ... เข้าไปดูน้องหมีสีน้ำตาลกัน​!!

ขอเบรกภารกิจ "พาน้องหมี มาดูน้องหมี" (ภรรยา = น้องหมี :3) ไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ อดใจรอรีวิวหน้าจะมีเรื่องราวเกี่ยวกับสวนหมี Noboribetsu Baer Park แห่งนี้มาให้อ่านกันแบบจัดเต็มเลยทีเดียวครับ

เนื่องจากเราต้องไปกันต่ออีกประมาณ 120 กว่ากิโลเมตร เพื่อไปเยือนโรงงานช็อคโกแลค Shiroi Koibito Park และขับต่อไปอีก 60 กิโลเมตร เพื่อไปเยือน Otaru Music Box Museum ที่เมืองโอตารุ จึงมีเวลาเพลิดเพลินกับน้องหมีเพียงแค่ชั่วโมงเศษๆ เท่านั้น เราจึงออกเดินทางจากโนโบริเบ็ทสึกันตอนบ่ายโมงครึ่ง แต่....


มีเรื่องให้ตื่นเต้น!! 

เราออกมาจากสวนหมี ขึ้นรถ คาดเข็มขัดนิรภัยพร้อมออกเดินทาง ในจังหวะที่ผมเลี้ยวรถออกจากช่องจอดรถนั่นเอง... เกิดเสียงปึ้ง!!ดังสนั่นมาจากใต้ท้องรถ!! เรารู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กๆ เหมือนทับอะไรบางอย่างเข้า!!

ผมและภรรยาตกใจมาก ผมพูดขึ้นว่า "หมีอยู่ใต้ท้องรถรึป่าว?" (แอ๊ะ... ยังจะตลกอีก) 

ภรรยาผมตอบว่า "หมาหรือแมว... หรือแรคคูนมั้ย?? ลงไปดูเสะ!!"

ผมปลดเข็มขัดนิรภัยอย่างตะกุกตะกัก มือสั่นเทา แล้วเปิดประตูลงจากรถเพื่อไปดูว่าเสียงนั้นใช่เจ้าสัตว์ตัวน้อยผู้เคราะร้ายหรือไม่? ในใจภาวนาว่า "อย่าให้ใช่เล้ย จะมาทำบาปไกลถึงโนโบริเบ็ทสึเลยหรือนี่เรา ทำไมก่อนขึ้นรถไม่เดินวนดูรอบรถก่อนซักรอบนะ"

ปล.ใช่แล้ว... การเดินสำรวจรอบรถก่อนขึ้นรถเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ตัวเราเองและผู้อื่น ตามหลักของ Defensive driving ครับ เพราะเราจะสามารถสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติรอบๆ รถเราได้ก่อนจะออกรถไป เช่น ยางแบนหรือไม่, มีน้ำมันอะไรรั่วออกจากใต้ท้องรถหรือไม่ หรือ... มีสิ่งมีชีวิตอะไรอยู่ใต้ท้องรถเราหรือไม่ เป็นต้น

สาระมาเต็มแล้ว... กลับมาที่เรื่องตื่นเต้นของเรากันต่อครับ - -"

​นี่คือต้นเหตุของเสียงดังสนั่นลั่นเข้าไปในรถครับ!! อื้มม... มีน้ำแข็งเกาะอยู่ด้านในของซุ้มล้อหน้าทั้งสองข้างนั่นเอง มีแบบว่าเต็มพื้นที่ คับซุ้มล้อรถกันเลยทีเดียวล่ะครับ ตอนที่เลี้ยวรถออกจากช่องจอดรถ ผมหักพวงมาลัยจนสุดวงเลี้ยวทำให้ล้อรถที่กำลังหมุนไปข้างหน้านั้นไปบดเอาน้ำแข็งที่เกาะอยู่เข้ากับด้านในของซุ้มล้อหน้าทั้งสองข้างอย่างแรง แล้วน้ำแข็งก็แตกร่วงลงมาอย่างที่เห็นในภาพ ซุ้มล้อด้านหลังก็มีน้ำแข็งเกาะเต็มซุ้มเหมือนกันครับ เพียงแต่ล้อหลังนั้นไม่สามารถหักเลี้ยวเข้าไปบดเอาน้ำแข็งได้เหมือนล้อหน้านั่นเอง 

สรุปคือ เราควรจะใช้เวลาเดินดูรอบๆ รถสักเล็กน้อยหลังจากที่ขับลุยหิมะมายาวไกล ยางลุยหิมะทำหน้าที่ของมันได้ดีมาตลอดทางครับ ตะกุยเอาหิมะออกไปจากพื้นถนนได้ดีทำให้รถไม่ลื่นไถล แต่หิมะมีเยอะมากเกินไปจนที่ถูกตะกุยจนมาติดและสะสมเป็นก้อนน้ำแข็งอยู่กับตัวรถแบบนี้ อาจไม่อันตรายอะไรมากนัก แต่มันทำให้ตกใจได้มากๆ เลยล่ะครับ ^^" ถ้าเจอก่อนขึ้นรถก็เอาเท้าเตะๆ เคาะๆ ให้มันหลุดไปนะครับ เวลาขับๆ ไปถ้ามันร่วงตามพื้นถนนดูคล้ายก้อนหินมากๆ (รถคันอื่นทำร่วงไว้เยอะเหมือนกัน) ผมนี่จะหักหลบหลายรอบเลยล่ะครับ แต่มานึกขึ้นได้ว่ามันคือเจ้าสิ่งนี้เลยไม่กลัวแล้วครับ ขับทับมันไปได้เลย ^^

มาเดินทางกันต่อครับ 

เราออกจาก Noboribetsu Bear Park ตอนบ่ายโมงครึ่ง และแวะร้านสะดวกซื้อตรงปากทางเพื่อหามื้อกลางวันแบบที่กินได้ระหว่างเดิน (ข้าวปั้น, แซนด์วิชคัตสึ, นมกล่องเท่าที่จะหาได้) เพื่อเป็นการประหยัดเวลา (ไม่แวะกินอะไรเป็นมื้อเป็นเรื่องเป็นราวกันแล้วล่ะวันนี้ ^^")

ถนนบางช่วงก็เคลียร์ ไม่มีหิมะคลุมจนทำให้ต้องชะลอรถบ่อยๆ ผมใช้ความเร็วสูงสุดที่ 90 แต่ไม่เกิน 100 กม./ชม.เกือบตลอดทางเพื่อความปลอดภัยครับ เพราะถึงจะไม่มีหิมะบนพื้นถนนแต่สภาพถนนก็เปียกเหมือนเวลาที่ฝนเพิ่งหยุดตก ระหว่างทางมีป้ายเตือนให้ระวังสัตว์ข้ามถนนตลอด แสดงว่าคงจะมีสัตว์ออกมาป้วนเปี้ยนบนไฮเวย์บ่อยพอสมควร ต้องระวังไว้ด้วยครับ ^^"


เวลาเกือบๆ จะบ่าย 3 โมง ผมก็ขับรถมาจนถึงซัปโปโรจนได้ บรรยากาศที่ซัปโปโรนั้นเริ่มจะมืดแสงแดดเริ่มคล้อยหายไปบ้างแล้ว (ที่นี่พอ 4 โมงเย็น ดวงอาทิตย์ก็เริ่มจะลับขอบฟ้าแล้ว) ที่สำคัญเริ่มจะเจอรถติดเข้าให้แล้ว (โอย...วิ่งฉิวมาตลอดตั้งแต่เช้า มาเจอแบบนี้ทำไงดี... แย่แล้วสิ!!) แต่ถึงกระนั้นเราก็ยังขับไปจนถึง Shiroi Koibito Park หรือโรงงานช็อคโกแลต Ishiya Chocolate Factory ตอนบ่าย 3 โมงกว่าๆ ได้อยู่ดี เพราะเส้นทางที่เราผ่านไปส่วนมากจะมีแค่ติดไฟแดงนิดๆ หน่อยๆ ครับ ปริมาณรถก็ไม่เยอะเหมือนที่กรุงเทพฯ บ้านเราที่ไม่รู้ว่าจะเยอะไปไหน เยอะมันไปซะทุกแยก ^^" 
ถึงแล้วรีบๆ หน่อย... หาที่จอดรถแล้วรีบเข้าไปดูกันดีกว่าว่าที่นี่...​ เค้าผลิตเจ้าคุกกี้ลิ้นแมว (Langue de chat) สอดไส้ White Chocholate แสนอร่อยนี้ กันได้อย่างไร??
ข้างใต้ของตัวตึกโรงงานซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมสุดแสนคลาสสิคนั้นเป็นที่จอดรถ ซึ่งสามารถจอดรถได้หลายคันเลยทีเดียวล่ะครับ

​หลังจากได้สัมผัสบรรยากาศในโรงงานขนมแสนสุข ที่ผลิตขนมแสนอร่อยออกไปวางขายทั่วประเทศญี่ปุ่นกันแล้ว มีทั้งความสวยงามน่ารักของสถานที่ที่ตกแต่งได้อย่างสวยงาม เดินแล้วเพลินจนแทบจะลืมเวลากันไปเลยทีเดียว ไหนจะความหอมอร่อยของขนมให้ลิ้มลองอีก แถมยังมีพร้อมให้ได้ซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านกันอย่างมากมายจนเลือกแทบไม่ถูก (หลากหลายผลิตภัณฑ์มาก)

ก็เป็นอันได้เวลาออกเดินทางกันต่อไปยัง Otaru Music Box Museum ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไปอีก 60 กิโลเมตร กันแล้วล่ะครับ :D


16.30 น. ออกจากโรงงานช็อคโกแลต ฟ้าก็เริ่มมืดลงทุกที

แค่สี่โมงครึ่งก็ต้องเปิดไฟหน้าขับรถกันแล้ว มืดเร็วจริงๆ ^^"

​ผมขับฝ่าความมืดและถนนที่ถูกคลุมไว้ด้วยหิมะ ถนนในซัปโปโรบางจุดเริ่มเป็นน้ำแข็งอันเกิดจากหิมะที่เริ่มละลาย แต่ GPS ก็นำให้ขึ้น Express Way ต่อไปยังโอตารุ จึงได้วิ่งบนถนนที่ไม่ค่อยมีหิมะและทำเวลาได้ดีพอสมควร


17.15 น. โดยประมาณ เราก็มาถึงโอตารุกันครับ ถนนนั้นมีหิมะคลุมค่อนข้างจะหนาเลยทีเดียว แต่ก็ยังขับรถได้สบายๆ เมื่อถึงแล้วก็ต้องหาที่จอดรถเพื่อเดินไปยัง Otaru Music Box Museum (ทางร้านไม่มีที่จอดรถให้) ก็วนอยู่พักใหญ่จึงเจอที่จอดรถ 100 เยน ห่างจากร้าน Music Box ไปเพียง 100 กว่าเมตร คอนเซ็ปท์ของที่จอดรถก็ง่ายๆ ครับ

1. เลี้ยวรถเข้าไป แล้วรับบัตรจอดรถจากเครื่องอัตโนมัติ ไม่กั้นจะเปิดอัตโนมัติ

2. เอารถเข้าไปจอด และเก็บบัตรจอดรถไว้ให้ดีๆ (ถ้าหายขึ้นมาไม่รู้ว่าจะบอกใครให้เปิดไม้กั้นได้เลยครับ ไม่มีคนเฝ้าครับ)

3. ตอนเอารถออก สอดบัตรเข้าเครื่องแล้วหยอดเหรียญหรือใส่ธนบัตรเข้าเครื่องไป ไม้กั้นก็จะเปิดออกครับ

​จอดรถให้เป็นที่เป็นทางกันเรียบร้อยแล้ว ก็เดินตากลมหนาวสะใจ(-8ºC) กันไปที่ร้าน Otaru Music Box Museum กันครับ ^^

​Check point สุดท้าย ของทริปนี้ ระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร ที่ขับรถฝ่าหิมะชื่นชมทัศนียภาพที่ไม่เคยได้พบเห็นและสัมผัสมาก่อนตลอดเส้นทาง มาจนถึงตรงนี้นั้นคุ้มค่าให้จดจำไว้จริงๆ ครับ ที่นี่เมือง "โอตารุ" นี้คือสวรรค์ของคนรักกล่องดนตรี แต่ด้วยเวลาอันน้อยนิดที่มี ทำให้เราได้ชื่นชมกับกล่องดนตรีกันไม่มากนัก (ร้านปิด 18.00 น.และเราไปถึงกันตอนเกือบ 17.30 น.แล้ว) ชื่อของร้านคือ Otaru Music Box Museum ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 ร้าน และตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน บรรยากาศในร้านทั้งสองนั้นนำเสนอความคลาสสิคแบบตะวันตกมากๆ แต่ก็แฝงความเป็นญี่ปุ่นไว้ด้วยเช่นกัน เป็นบรรยากาศที่ให้ความลงตัวในการเลือกชมเลือกซื้อกล่องดนตรีมากๆ ครับ

เจ้า Music Box ของที่นี่นั้นมีหลากหลายรูป มีทั้งที่เป็นตุ๊กตาแสนน่ารักและเป็นกล่องเพลงธรรมดาแบบคลาสสิค มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ มีทั้งแบบตัวโน๊ตน้อยและมาก และที่สำคัญคือทุกชิ้นนั้นผลิตในญี่ปุ่นทั้งหมด ควรค่าให้ซื้อกลับไปเป็นที่ระลึกถึงเมืองน่ารักๆ แสนสงบแห่งนี้ยิ่งนัก ผมและภรรยาเลือกกันแล้วเลือกกันอีก เพราะว่ามีให้เลือกมากมายหลายแบบเหลือเกิน และเราคงไม่สามารถซื้อกลับไปได้ทั้งหมด เพื่อนๆ ที่คิดจะไปซื้อกล่องดนตรีที่นี่กลับมา ถ้ามีเพลงคลาสสิคในดวงใจอยู่แล้วก็จะสามารถตัดสินใจเลือกกล่องดนตรีได้ง่ายขึ้นครับ

อ้อ... เพลง Let it go ของเจ้าหญิงเอลซ่าก็มีนะครับ!! น่ารักไม่ใช่น้อยๆ เลย ^^ แต่สำหรับผมกับภรรยานั้นชอบเพลง Canon in D กันอยู่แล้ว พอเข้าร้านไปจึงเลือกดูแต่กล่องที่เป็นเพลงนี้ แต่ก็ยังมิวายต้องพิจารณาเลือกจำนวนตัวโน๊ตที่มีให้เลือกตั้ง 20 ตัวโน๊ตไปจนถึง 100 กว่าตัวโน๊ต ตัวโน๊ตยิ่งมาก ยิ่งไพเราะ กล่องยิ่งใหญ่ และราคายิ่งสูงขึ้น เราจึงเลือกแบบกลางๆ มากล่องนึงครับ เป็นแบบ 40 ตัวโน๊ต ซึ่งไพเราะก้องกังวาลอยู่ในหัวใจมากๆ เลยทีเดียว

เชิญชมคลิป Music box ในเพลง Canon in D ที่เราซื้อกลับมากันได้เลยครับ ;)  แหม...ฟังทีไรคิดถึงเมืองโอตารุขึ้นมาทุกที :D


​เหนื่อย(แต่อิ่มเอมหัวใจ)กันมาทั้งวันแล้ว ได้เวลาไปเข้าพักที่ Hotel MYSTAYS (Bestwestern Fino Sapporo Station) ซึ่งต้องขับรถจากเมืองโอตารุย้อนกลับไปซัปโปโร อีกประมาณ 40 นาที โดยใช้ Express Way (อีกรอบ)

​มาถึงโรงแรมกันก็เกือบจะสามทุ่มแล้ว เหนื่อยล้ากันเต็มที ต้องขอรีบไป check-in กันด่วนๆ แต่ทว่า... ต้องวนไปจอดรถหลังโรงแรมอีก อากาศข้างนอกตอนนี้ก็โหดร้ายเสียเหลือเกิน -13ºC บรื๋ออออ คงไม่มีเรี่ยวแรงออกไปเดินเล่นกันแล้วล่ะ ^^"

ไปดูที่จอดรถของโรงแรมกันสักนิดนึงครับ เป็นที่จอดรถแบบลิฟต์อัตโนมัติที่มีค่าบริการ 1,000 เยน ต่อ 8 ชั่วโมง (อัตราเหมาจ่ายตลอดคืน) ของทางโรงแรมครับ จะมีเจ้าหน้าโรงแรมคอยมาปิดเปิดให้เรานำรถเข้าออกที่จอดรถครับ แค่แจ้งเขาว่าเราจะจอดรถ หรือจะนำรถออก (ตอนไหนก็ได้ครับ บริการ 24 ชม.) ช่องจอดนั้นไม่แคบจนเกินไป แค่ตั้งลำแล้วขับทิ่มหัวเข้าไปให้ตรงช่องที่กำหนดเอาไว้เท่านั้นก็เรียบร้อยครับ

มีเรื่องตื่นเต้นมาฝากส่งท้ายก่อนจะจากกันใน Blog นี้ครับ

ระหว่างที่ขับรถเข้ามาในตัวเมืองซัปโปโรซึ่งก็เป็นถนนในเมืองที่มีปริมาณรถค่อนข้างเยอะ จู่รถก็เกิดอาการเบรกไม่อยู่ขึ้นมาดื้อๆ สาเหตุเพราะพื้นถนนนั้นที่ถูกคลุมด้วยหิมะทับถมสะสมมายาวนานหลายวันจนเริ่มละลายเป็นน้ำแข็ง ทำให้พื้นถนนนั้นกลายเป็นลาน สเก็ตน้ำแข็งก่อนหน้าที่เราจะมาถึงซัปโปโรกันแล้วล่ะครับ เนื่องจากที่นี่มีหิมะตกติดต่อกันมาหลายวันก่อนหน้านี้(ลานสเก็ตน้ำแข็งนี่ ผมเปรียบเทียบนะครับ ไม่มีใครมาเล่นสเก็ตน้ำแข็งครับ ^^") 

งานนี้บอกเลยว่ายางลุยหิมะก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ครับ เพราะยางลุยหิมะนั้นใช้ตะกุยหิมะปุยๆ ไม่ให้รถลื่นไถลเสียการทรงตัวได้ แต่ไม่สามารถตะกุยพื้นน้ำแข็งที่หนาเป็นนิ้วๆ ได้ เมื่อเราเบรกจนล้อรถหยุดหมุนแล้ว แรงเฉื่อยของรถจะยังตามมาส่งให้รถนั้นพุ่งต่อไปข้างหน้าอีกในสภาพที่ล้อตาย(ล้อไม่หมุนแล้ว แต่รถยังเคลื่อนที่ไปข้างหน้า) ซึ่งมันขึ้นอยู่กับความเร็วที่เราขับมาครับ

การขับบนพื้นน้ำแข็งครั้งนี้ ทำให้ผมได้เรียนรู้การขับรถในสภาวะเแวดล้อมแปลกใหม่ พอจะสรุปเป็น Trick ง่ายๆ ได้ประมาณนี้ครับ 

1. ใช้ความเร็วต่ำเท่าที่จะต่ำได้ 

2. เว้นระยะให้ห่างกับรถคันข้างหน้าให้มากที่สุด 

3. ไม่เหยียบเบรกจมเลยในครั้งเดียว ให้แตะๆ ย้ำๆ ไปเพื่อให้ล้อหมุนช้าลง ลดการเกิดการลื่นไถลของรถ

4. เมื่อรถลื่นไถล "อย่าหักพวงมาลัยเป็นอันขาด" เพราะอาจจะทำให้รถหมุนได้


ตื่นเช้ามาก่อนจะออกไปคืนรถที่สนามบินชิโตเสะ (New Chitose Internation Airport) ก็ได้เห็นสภาพถนนในซัปโปโรเป็นแบบนี้ครับ (เมื่อคืนตอนที่ขับแล้วรถลื่นไถลนั้น ผมมองเห็นพื้นถนนได้ไม่ค่อยชัดเท่าไรนัก) มันเป็นลานสเก็ตน้ำแข็งจริงๆ ครับ ผมได้ลองลงไปเดินดูแล้วปรากฏว่า "แทบจะก้นจ้ำเบ้า" เลยล่ะครับ ลื่นจริงอะไรจริง ขนาดรองเท้าที่ใส่ลงไปเดินนั้นมีดอก Ice pick นะครับเนี่ย ^^"

​เป็นอย่างไรกันบ้างครับ หวังว่าทริปขับตะลุยตะกุยหิมะฮอกไกโดนี้ จะเป็นแนวทางให้กับเพื่อนๆ ที่อยากลองสัมผัสอะไรแปลกใหม่ อย่างเช่นถนนที่มีแต่หิมะ การขับรถชมวิวทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวโดนใจเป็นเป้าหมายตามรายทาง ทั้งนี้เพื่อนๆ สามารถหาข้อมูลประกอบการวางเส้นทางกันเองก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องให้เหมือนในรีวิวนี้ของผม เพราะต่างคนต่างมีความชื่นชอบที่ไม่เหมือนกันครับ หรือใครจะตามรอยเลยก็สนุกดี (แต่แอบมีความเหนื่อยนะครับ...บอกกันเอาไว้ก่อน ^^")

Yuri JT จะนำเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับทริปญี่ปุ่นฤดูหนาวมาฝากกันในบล็อกหน้า โปรดติดตามอ่านกันนะครับ ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั้น...คงเดาได้ไม่ยาก เพราะผมบอกไปแล้วในตอนกลางๆ เรื่องของบล็อกนี้ อิอิ

ขอขอบคุณที่ติดตามอ่านกันมาจนถึงซัปโปโรนะครับ สำหรับบล็อกนี้คงต้องกล่าวอำลากันแล้วครับ "ปีเก่าผ่านไปใจสลายหายคว่ำ น้ำตาร่วงริน ปฏิทินเปลี่ยนปีใหม่เตือนใจให้ ก้าวเดินกันต่อไป" สวัสดีปีใหม่ 2560 ขอให้เป็นปีที่สดใส เป็นปีแห่งการเดินทางตามหาความฝันของเพื่อนๆ และที่สำคัญ... ขอให้เป็นปีที่มีความสุขมากๆ ของทุกๆ คนนะครับ ^^

สนใจทัวร์ญี่ปุ่นส่วนตัว คลิกที่นี่เลย http://www.ilovejapantours.com/th


บทความล่าสุด