t ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น

ดูใบไม้เปลี่ยนสีนี้...ต้องมาเมืองมรดกโลก 'นิกโก้'

ดูใบไม้เปลี่ยนสีนี้...ต้องมาเมืองมรดกโลก 'นิกโก้'

By , Tuesday, 13 September 2016

​ ไหนๆ ฤดูใบไม้ร่วงก็มาถึงแล้ว สิ่งที่พลาดไม่ได้คืออะไรคะ เฉลยค่า…คือการชมใบไม้เปลี่ยนสีไง! (>_<) ก็แหม...บ้านเราไม่มีใบเมเปิ้ลสีส้มๆ เหลืองๆ แสนโรแมนติกเหมือนในซีรีส์เกาหลีญี่ปุ่นนี่นา ไม่แปลกที่ใครหลายคนตัดสินใจแบกกล้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปเที่ยวญี่ปุ่นกันช่วงนี้

หลายคนคงมีสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีในดวงใจที่ต้องไปให้ได้สักครั้ง ซึ่งหนึ่งในใจของใครหลายคนนั้นก็คงมี 'นิกโก้' (Nikko) อยู่แน่ๆ เพราะนิกโก้เป็นเมืองที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงมากในหมู่นักท่องเที่ยวคนไทย เรียกได้ว่าไปครั้งไหนต้องเจอกลุ่มนักท่องเที่ยวคนไทยทุกครั้ง โดยวันนี้เราจะพาคุณผู้อ่านมาหาคำตอบกันค่ะว่าที่เมืองแห่งนี้มีดีอะไร ทำไมถึงได้ชื่อว่าเป็น "เมืองมรดกโลก"

ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.meetup.com

​นิกโก้เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่สมัยเอโดะ โดยตั้งอยู่ในจังหวัดโทะชิงิ ซึ่งไม่ไกลจากโตเกียวเท่าไหร่นัก สามารถเดินทางไปเที่ยวจากโตเกียวแบบไปเช้า-เย็นกลับได้ ที่นี่เป็นเมืองที่ได้รับความนิยมมากในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและต่างประเทศ ข้อดีคือที่เมืองนี้ค่อนข้างสงบ เพราะตั้งอยู่บริเวณทิวเขา ท่ามกลางธรรมชาติ นอกจากนี้บางบริเวณยังอนุรักษ์ความเป็นญี่ปุ่นดั้งเดิมแบบสมัยก่อน ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเมืองนิกโก้แห่งนี้มีทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดอีกที่หนึ่งในญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ 

(ข้อมูลเกี่ยวกับนิกโก้สามารถดูเพิ่มเติมได้จาก http://nikko-travel.jp/english/)

ด้วยความที่อ่านรีวิวมาเยอะก็เลยอยากเห็นด้วยตาของตัวเองค่ะว่าใบไม้เปลี่ยนสีสวยอย่างที่เค้าว่ากันจริงมั้ย เลยรีบจัดกระเป๋าพร้อมออกเดินทางแต่เช้า โดยปกติแล้วจากโตเกียวสามารถไปนิกโก้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แต่ด้วยความที่เราอาศัยอยู่ชานเมืองอีกฟากของโตเกียวเลยต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้า เพราะต้องใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงกว่าจะถึง เอาล่ะ! เกริ่นกันมาเยอะแล้ว มาเริ่มกันที่วิธีการเดินทางกันดีกว่าค่ะ

ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวต่างชาติ โทบุ ที่อาซากุสะค่ะ
โทบุกรุ๊ปทัวริสต์พลาซ่า ที่สถานี Tokyo Skytree
ขอขอบคุณรูปภาพจาก canalviajes.com

การเดินทางไปนิกโก้เราสามารถไปได้หลายวิธี

วิธีที่ 1 นั่งรถไฟสาย Tokyo Metro Hibiya Line จากสถานี Ueno ไปลงสถานี Kita-Senju แล้วต่อรถไฟสาย Tobu Skytree Line ไปลงยังสถานี Tobu-Nikko

วิธีที่ 2 นั่ง Shinkansen Yamabiko จากสถานี JR Ueno ไปลงสถานี JR Utsunomiya แล้วต่อรถไฟสาย Nikko Line ไปลงยังสถานี JR Nikko (สำหรับคนที่มี JR Pass แนะนำว่านั่ง Shinkansen ไปดีกว่าค่ะ สบายๆ แถมเร็วอีกด้วย)

วิธีที่ 3 นั่งรถไฟสาย Utsunomiya line จากสถานี JR Ueno ไปลงสถานี JR Utsunomiya แล้วต่อรถไฟสาย Nikko Line ไปลงยังสถานี JR Nikko

ด้วยความที่เราไม่มี JR Pass เลยต้องไปวิธีแรกค่ะ ซึ่งเราได้ซื้อตั๋วรถไฟของ Tobu line โดยสามารถซื้อออนไลน์ได้ หรือไปซื้อที่ Shinjuku, Asakusa, Ikebukuro เป็นต้น ตอนนั้นเราไปซื้อที่ โทบุท้อปทัวร์ สาขาชินจุกุ ทราเวลซาลอน (Tobu Top Tours) อยู่ในสถานี JR Shinjuku เลยแต่กว่าจะหาที่ขายตั๋วเจอ ขอบอกเลยว่าหลงทางแรงมาก เดินวนจนสุดท้ายให้คนญี่ปุ่นแถวนั้นนำทางพาไป 5555

(ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทาง สามารถดูเพิ่มเติมได้จาก http://www.tobu.co.jp/foreign/th/ ค่ะมีเมนูภาษาไทยให้ด้วย)

เมื่อได้ตั๋วแล้วเราก็เริ่มเดินทางกันเลยดีกว่าค่ะ โดยรถไฟสาย Tobu Skytree Line ที่เรานั่งไม่ต้องจองที่ค่ะ สภาพรถไฟแอบเก่าเล็กน้อย เนื่องด้วยช่วงที่เราไปเป็นวันหยุดคนเลยเยอะเป็นพิเศษ เลยต้องไปนั่งกับคนอื่นๆ ถ้าเราขึ้นสายนี้เราจะผ่าน Tokyo Skytree ด้วย

หลับๆ ตื่นๆ มาหลายรอบจนในที่สุดเราก็มาถึงนิกโก้ค่ะ เย้! โชคดีที่วันที่เราไปฟ้าใสและอากาศดีมาก โดยเราออกมาจากสถานีรถไฟ Tobu-Nikko ซึ่งสถานีนี้เป็นสถานีเก่าแก่ตกแต่งด้วยอาคารไม้ ถัดไปจากสถานีก็จะมี Tourist Information (แนะนำว่าควรหยิบแผนที่จากบริเวณนั้นติดตัวไปด้วย) ส่วนอีกฝั่งจะเป็นร้านขายของฝากตั้งอยู่ไม่ไกลค่ะ แต่ยังก่อน! เพิ่งมาถึงเราจะยังไม่แวะเข้าร้านของฝากอะไรทั้งสิ้น อันดับต่อไปคือเราจะเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ โดยรถบัสของนิกโก้ 

ภาพสถานีรถไฟค่ะ ถ่ายเป็นที่ระลึกก่อนออกเดินทาง
ระหว่างที่รถติดก็ขอถ่ายรูปข้างทางเก็บเป็นที่ระลึกหน่อย
ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.travelwhereveryouwant.com

รถบัสที่วิ่งอยู่ในนิกโก้จะแบ่งเป็นหลายสายค่ะ ซึ่งรถบัสคันสีแดง เป็นสาย World Heritage bus โดยจะวิ่งวนในเส้นทางมรดกโลกเท่านั้น สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในเส้นทางได้แก่ ศาลเจ้าโทโชกุ, วัดรินโนจิ, สวนโซโยเอ็น วัดไทยูอิน, ศาลเจ้าฟุตาระซัง และ สะพานแดงชินเคียว ถ้าต้องการไปไกลกว่านั้นต้องนั่งรถบัสสาย Tobu แทนค่ะ

สำหรับใครถ้ามีเวลาหรืออยากเดินชมเมืองรอบๆ สามารถเดินไปได้ค่ะ ในกรณีที่เป็นฤดูใบไม้ร่วงอากาศกำลังเย็นสบาย เราสามารถเดินเล่นจากสถานีไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ได้สบาย อย่างที่กล่าวไว้ว่าเราไปเที่ยวช่วงใบไม้เปลี่ยนสีทำให้นักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษ นอกจากจะรอต่อคิวขึ้นรถบัสนานแล้ว รถยังติดโคตรๆ ไม่ต่างอะไรกับบ้านเราเลย สุดท้ายคนที่ลงเดินสรุปถึงไวกว่าอีก

เดินเล่นไปได้ไม่กี่ก้าวก็เจอครอบครัวชาวญี่ปุ่นที่มาเที่ยวกัน น้องน่ารักมากเลยขออนุญาตคุณแม่ถ่ายรูปมาฝากกันด้วยค่ะ (>_<)

สาย World Heritage bus จะวิ่งดังนี้ค่ะ

หมายเลข 1 : สถานีรถไฟ JR Nikko
หมายเลข 2 : สถานีรถไฟ Tobu Nikko
หมายเลข 81 : Hotel Seikoen Mae
หมายเลข 82 : Shodo Shonin Zo Mae
หมายเลข 83 : Omotesando 

(ศาลเจ้าโทโชกุ, วัดรินโนจิ, สวนโซโยเอ็น)
หมายเลข 84 : Nishi-Sando
หมายเลข 85 : Taiyuin Futarasan Jinja Mae 

(วัดไทยูอิน, ศาลเจ้าฟุตาระซัง)

หมายเลข 7 : Shinkyo (สะพานแดงชินเคียว)

จุดแรกที่เราไปเลยคือ 'สะพานแดงชินเคียว' เก่าแก่อันโด่งดังค่ะ สำหรับความเป็นมาของสะพานศักดิ์สิทธิ์นี้ คือในสมัยก่อนคนที่สามารถข้ามแม่น้ำไดยะโดยใช้สะพานนี้ได้มีแค่เชื้อพระวงศ์และเจ้านายชนชั้นสูงเท่านั้น

เห็นจากในรูปมาเยอะนี่ก็มโนไว้ดิบดี แต่ความรู้สึกแรกที่เห็น…อยากบอกว่านึกว่าไม่ใช่สะพานนี้เพราะเล็กกว่าที่คาดไว้ นี่ก็นั่งเลยป้ายไปไกลจนคนขับไล่ลงเพราะนั่งเลยไปจนสุดสาย (=_=) หากใครอยากขึ้นไปถ่ายรูปบนสะพานต้องเสียเงิน 300 เยนค่ะ น้ำที่ไหลมาจากน้ำตกผ่านสะพานใสแจ๋ว ดูสะอาดมาก ถ้าใครใส่ยูกาตะมาไปยืนถ่ายรูปบนสะพานคงเข้ากับบรรยากาศมากแน่ๆ

เมื่อไปถึงจุดแรกแล้ว จุดต่อไปคือ สวนโซโยเอ็น ค่ะ เป็นสวนญี่ปุ่นที่สร้างขึ้นมาในสมัยเอะโดะ แต่ได้รับการปรับปรุงในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ที่นี่

เหมาะสำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจมาก เพราะมีศาลาเล็กให้นั่งแถมยังมีร้านขายซอฟต์ครีมด้วย ซึ่งบริเวณนี้เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยมากๆ นี่ก็อยากมโนเหลือเกินว่ามากับแฟนจะดีแค่ไหน เพราะบรรยากาศเหมือนในหนังเป๊ะ แถมอากาศดีสามารถนั่งเปื่อยอยู่ตรงนั้นได้เป็นชั่วโมง เสียค่าเข้าชม 300 เยนค่ะ ถ้ามาใบไม้ร่วงขอบอกว่าคุ้มมาก

จุดต่อไปที่เราจะพาไปคือ ศาลเจ้าโทโชกุ และ วัดรินโนจิ ค่ะ 2 ที่นี้อยู่ใกล้กันค่ะใช้เวลาเดินประมาณ 5 นาที ศาลเจ้าโทโชกุ (Toshogu Shrine) เป็นวัดเก่าแก่ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองนิกโก้ โดยเป็นศาลเจ้าชินโตที่สร้างเพื่ออุทิศแด่โชกุน สำหรับวัดรินโนจิถูกก่อนตั้งขึ้นโดยพระสงฆ์ที่เผยแผ่ศาสนาพุทธเข้าสู่นิกโก้ในช่วงศตวรรษที่ 8

จุดเด่นคืออาคารที่ตกแต่งด้วยไม้แกะสลัก มีรูปลิงปิดหู ปิดตา ปิดปาก เหมือน Emoji ในไอโฟนค่ะ โดยความหมายของลิงทั้งสามคือปริศนาธรรม ที่สอนเราให่ไม่พูด ไม่มอง ไม่ฟังในสิ่งที่ไม่ดี แต่เนื่องจากว่าค่าเข้าชมข้างในค่อนข้างเกินงบ (1300 เยน) เลยได้แต่เกาะกำแพงดูด้านนอกไปแทนแล้วกัน (=_=;)

หมายเหตุ : ขณะนี้ลิง 3 ตัวกำลังปิดปรับปรุงไปจนถึงเดือนมีนาคม 2017 และตรงส่วน Yomeimon (ซุ้มประตูโยเมมง) เองก็ปิดปรับปรุงยาวไปจนถึงมีนาคมปี 2019 กันเลยทีเดียว 

บรรยากาศข้างนอกก็ร่มรื่นมากค่ะ ทางเดินข้างทางประดับไปด้วยต้นไม้ใหญ่ทำให้เดินได้ไม่ร้อนเลยซักนิด (ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.tripadvisor.com.ve)
บริเวณซุ้มประตูโยเมมงของศาลเจ้าโทโชกุ (ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.japan-guide.com)
วัดรินโนจิค่ะ (ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.tsunagujapan.com)

​เมื่อเดินเที่ยวจุดท่องเที่ยวจนเกือบทั้งวัน ขากลับเราตัดสินใจเดินกลับค่ะ เพราะถึงเวลาทัวร์กินนั่นเอง 5555 ข้างทางก็มีร้านค้าที่น่าสนใจมากมาย ทั้งร้านขนมญี่ปุ่น ร้านขายของโบราณ มาแล้วไม่ควรพลาดดังโงะค่ะ อร่อยมากหนึบๆ ยืดๆ มีซอสหลายชนิด แต่เราชอบสุดเป็นมิโสะค่ะ

หลังจากกินดังโงะเสร็จก็ต่อด้วยซอฟต์ครีมรสดอกไม้อะไรซักอย่างสีเหลืองๆ รสชาติหวานๆ หอมดีค่ะ แล้วก็ต่อด้วยแวะชมร้านขายของโบราณแนววินเทจสไตล์ญี่ปุ่นก่อนกลับไปสถานีรถไฟ โดยใช้เวลาเดินประมาณ 40 นาที ฟังดูเหมือนนานนะ แต่เดินไปเรื่อยๆ ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย (/ผู้อ่าน : ก็แกเดินไปกินไปตลอดทางจะเหนื่อยได้ไงฟะ -O-)

สุดท้ายนี้เราก็ขอทิ้งท้ายด้วยรูปที่ถ่ายมาฝากคุณผู้อ่านกันค่ะ ต้องขออภัยด้วยที่สีรูปบางรูปอาจจะดูเวอร์ไปนิด (-,.-)

นิกโก้ป็นสถานที่ที่เหมาะกับคนที่ชอบธรรมชาติ จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีของที่นี่ที่พิเศษกว่าที่อื่นคือไม่เพียงแต่ชมใบไม้ คุณยังได้ชมถึงความงามของธรรมชาติ และประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจในสมัยก่อนของญี่ปุ่นอีกด้วย ใครที่สนใจก็อย่าลืมแวะมาเที่ยวกันนะคะ ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองมรดกโลกแบบนี้ไม่มีผิดหวังอย่างแน่นอนค่ะ

ขนาดใบไม้ที่ร่วงลงพื้นแล้วยังสวย เลยไปถ่ายรูปมากับเค้าบ้าง

ขอขอบคุณรูปภาพและข้อมูลจาก : 

http://www.tobu.co.jp/ 

http://www.japan-guide.com/e/e3801.html

รูปภาพบางส่วนที่ไม่ได้ให้เครดิตถ่ายเองโดยเกด (ผู้เขียนบล็อกนี้) ห้ามนำออกไปใช้ต่อก่อนได้รับอนุญาตค่ะ


สนใจทัวร์ญี่ปุ่นแบบส่วนตัว คลิกที่นี่เลยค่ะ http://www.ilovejapantours.com/th

บทความล่าสุด