t ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น

วัดแปลกๆในญี่ปุ่น

วัดแปลกๆในญี่ปุ่น

By , Saturday, 11 June 2016

​สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ กลับมาพบกับบล็อกเกอร์โอทารุกันอีกครั้งหนึ่งนะครับ หลังจากที่หายหน้าหายตาไปนาน! หวังว่าเพื่อนๆผู้อ่านจะยังจำกระผมกันได้อยู่นะครับ! สำหรับตอนนี้ที่ญี่ปุ่นก็เข้าสู่หน้าร้อนเป็นที่เรียบร้อยแล้วล่ะ! คาดว่าคงจะมีเพื่อนๆที่ตั้งหน้าตั้งตารอเดินทางไปที่ญี่ปุ่นมากพอสมควรอย่างแน่นอนใช่ไหมล่ะครับ

สำหรับวันนี้โอทารุจะมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวแปลกใหม่ในนาโงย่า ส่วนตัวคิดว่าหลายๆคนอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่ผมเชื่อว่าคงมีส่วนน้อยที่เดินทางไปจริงๆ เอาล่ะ สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่ว่านั้น มันคืออะไร??? เดี๋ยวมาหาคำตอบกับโอทารุกันดีกว่าครับ ตามมาได้เลยจ้าาา

​แหล่งท่องเที่ยวที่จะมาเปิดเผยให้เพื่อนๆรู้จักในวันนี้ก็คือ วัดครับ!!! แต่เดี๋ยวก่อนๆๆ อย่าเพิ่งรีบปิด อ่านให้จบก่อน!! วัดนี้ถือว่าเป็นอันซีนที่เดินทางง่ายแถมมีความสำคัญกับชาวไทยมากๆเลยนะครับ (แต่ไม่ค่อยรู้จักกันมาก) ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความเป็นมาที่เกี่ยวพันถึงสถาบันที่เป็นที่เคารพรักของเหล่าปวงชนชาวไทยด้วยนะครับ เพราะวัดแห่งนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะพระมหากษัตริย์ของราชอาณาจักรสยามนะจะบอกให้ มาเข้าเรื่องเลยดีกว่าเนอะ!

​วัดที่จะนำเสนอในครั้งนี้ อยู่ที่เมืองนาโงย่า จังหวัดไอจิ ซึ่งถือเป็นภาคกลางของประเทศญี่ปุ่นครับ! โอทารุขอบอกว่าจริงๆแล้วภูมิภาคนี้มีของดีซ่อนอยู่อีกเยอะเลยนะครับ แค่ในเมืองนาโงย่าก็มีที่เที่ยวอีกหลายที่ หาได้มีแค่ปราสาทนาโงย่า-ชอปปิ้งที่ซากาเอะ-ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่โอสุคันนงเท่านั้น แต่นาโงย่ายังมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจอีกมากทั้ง SCMAGLEV and Railway Park, Toyota Automobile Museum รวมไปถึงแหล่งชมใบไม้สีแดงอย่าง Korankei หรือที่เที่ยวตามธรรมชาติอื่นๆอีกหลายที่ครับ ทว่า...ช่างน่าเสียดายยิ่งนักที่นักท่องเที่ยวบ้านเรามักจะหงายการ์ด "ที่นี่ไม่เห็นมีอะไรเที่ยว" อยู่เป็นประจำ ทำให้นาโงย่าถูกมองข้ามประหนึ่งลูกเมียน้อยคนที่ห้าไปอย่างน่าเสียดายครับ...โอทารุก็ได้แต่หวังว่าเพื่อนๆที่อ่านบล็อกนี้จบน่าจะเกิดแรงบันดาลใจในการเดินทางไปเที่ยวนาโงย่าเพิ่มขึ้น แม้จะไม่มากก็ขอให้เพิ่มสักนิดก็ยังดีนะครับ!

สำหรับวัดที่ผมจั่วหัวว่าแปลกนั้น ก่อนอื่นขอแนะนำให้รู้จักกันก่อนว่า วัดดังกล่าวชื่อ Nittaiji (日泰寺) ความหมายถ้าแปลงตรงตัวจะแปลว่า"วัดไทยญี่ปุ่น" เพราะมาจากคำว่า --- Nit (日)ที่แปลว่า ญี่ปุ่น ,tai (泰)แปลว่า ประเทศไทย และ ji (寺)แปลว่า วัด นั่นเองครับ! 

ก่อนอื่นเรามาดูประวัติย่อของวัดนี้กันพอสังเขปนะครับ!

ประวัติย่อของวัด

ครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงปกครองสยามประเทศอยู่นั้น รัฐบาลอินเดียได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระบรมสารีริกธาตุให้กับพระองค์ท่าน เนื่องจากเห็นว่าสยามเป็นประเทศที่มีผู้นับถือพระพุทธศานาอย่างแรงกล้าและองค์ราชาก็ประกอบอยู่ในทศพิธราชธรรม พระองค์ท่านก็ทรงรับไว้และพระบรมสารีริกธาตุดังกล่าวนำมาประดิษฐานไว้บนพระเจดีย์ที่ยอดของ "ภูเขาทอง" ในกรุงเทพฯ ที่เราขับรถผ่านกันนั่นเอง!!! 

ต่อมาได้มีสมณทูตจากประเทศต่างๆที่นับถือพุทธศาสนา เช่น ศรีลังกา พม่า รวมถึงประเทศญี่ปุ่นที่ได้ส่งสมณทูตมาขอส่วนแบ่งของพระบรมสารีริกธาตุที่สยามประเทศได้รับในคราวนั้น ซึ่งล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ก็ทรงกระกรุณาโปรดเกล้าฯให้แบ่งส่วนของพระบรมสารีริกธาตุให้กับประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศญี่ปุ่นโดยทั่วกัน

สำหรับตัวแทนสมณทุตจากประเทศญี่ปุ่นได้รับพระราชทานเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2443 โดยสมณทูตได้กราบบังคมทูลว่าเมื่อกลับไปที่ญี่ปุ่นแล้วจะสร้างพระเจดีย์ขึ้นมาใหม่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการรวมนิกายต่างๆในพุทธศาสนา และจะสร้างที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุอันเหมาะสม เมื่อความทราบถึงพระองค์แล้วก็ทรงพระราชทานพระพุทธรูปโบราณและพระราชทานพระราชทรัพย์เพื่อใช้สำหรับการสร้างวัดแห่งใหม่ขึ้นในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มเติมด้วย

เมื่อเดินทางกลับแดนอาทิตย์อุทัยแล้วคณะสมณทูตได้มีมติว่า "เมืองนาโงย่า" จะเป็นที่ตั้งของวัดแห่งใหม่เพราะชาวเมืองมีการเรียกร้องให้สร้างวัดมากที่สุด (จริงๆตามตำนานเล่าว่า เกียวโตก็มาแรงครับ เกือบชนะโหวตเหมือนกัน) และแล้ว...การสร้างวัดก็เริ่มขึ้นจนกระทั่งแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2447 โดยมีการได้รับบริจาตที่ดินจากชนชั้นสูงรวมกันจนได้ที่ดินถึง 330,000 ตารางเมตรเลยทีเดียว!!! (เยอะนะครับ สำหรับประเทศเกาะแบบญี่ปุ่น ถ้าเป็นปัจจุบันนี้สร้างห้างสรรพสินค้าหรือคอนโดได้สบายเลยครับ)

ต่อมาก็มีการก่อสร้างสถูปที่ใช้สำหรับบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ โดยมีศาสตราจารย์ Chuta Ito แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว (ที่ในการ์ตูนชอบเรียก โทได นั่นแหละครับ) เป็นผู้ออกแบบ จนมาแล้วเสร็จ พ.ศ. 2461 (ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 6) สำหรับอุโบสถที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ได้รับพระราชทานมานั้น เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2527 ที่ผ่านมา! ซึ่งในหลวงของปวงชนชาวไทยก็ทรงพระราชทานพระพุทธรูป ภปร. เพิ่มให้กับวัดอีกหนึ่งองค์ พร้อมทั้งทรงเขียนลายพระราชหัตถ์ เพื่อให้ช่างจารึกลงบนแผ่นไม้ด้วยลายจำหลักทอง นามว่า "พระพุทธศากยมุนี" โดยมีพระปรมาภิไธยย่อของพระองค์และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าจารึกอยู่ในแผ่นไม้นี้ทั้งด้านซ้ายและด้านขวามาจนทุกวันนี้ (แผ่นไม้ดังกล่าว ปัจจุบันอยู่ในอุโบสถนี่แหละครับ)

และนี่ก็คือความเป็นมาของสัญลักษณ์แห่งความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นที่ถือว่าเป็นวัดพิเศษที่รวมนิกายต่างๆของญี่ปุ่นเข้าด้วยกันและถือกันว่าเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นด้วยล่ะ! 

แผนที่ของวัด ที่มา http://nittaiji.jp/kakuouzan/index_en.html

สิ่งที่น่าชมภายในวัด

เนื่องจากวัดนี้มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน (แยกที่ดินกันตามภาพในแผนที่) ดังนั้น ผมจะขอคัดเฉพาะสิ่งที่น่าสนใจมาให้เพื่อนๆชมกันนะครับ

1.Sanmon (ประตูใหญ่) สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2529 ที่นี่แหละ ที่มีทวารบาล Unseen เป็นพระสงฆ์ในศาสนาพุทธทวารบาลซึ่งนับว่า "แปลกมากๆ" เพราะวัดที่ญี่ปุ่นแห่งอื่นไม่มีการสร้างทวารบาลแบบนี้! ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากวัดของญี่ปุ่นที่มักใช้เทพสายฟ้าและเทพวายุเป็นทวารบาล! ยกตัวอย่างง่ายๆครับ ที่ Sensoji, Asakua กรุงโตเกียว (วัดที่มีโคมแดงอันใหญ่นั่นแหละ) น่าจะนึกภาพออกนะครับ เพราะที่นั่นใช้เทพทั้งสองเป็นนายประตูนั่นเอง!

นี่แหละครับหน้าตาของประตูใหญ่ (อย่าไปเทียบกับนาระหรือเมืองเก่าแห่งอื่นนะครับ ประตูที่นี่ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น!)

​ภาพด้านบนสุดก็คือ ทวารบาลสไตล์ญี่ปุ่นครับ โอทารุถ่ายที่เซนโซจิ ตอนสี่ทุ่มครับ (แทบไม่มีคนเลย)

สำหรับทวารบาลที่เป็นพระสององค์นี้ คงจะมีเพื่อนๆสงสัยว่า "นี่ใคร พระสงฆ์ไทยเหรอ??" โอทารุก็ไปหาคำตอบมาให้ครับ ง่ายมากๆเลย คำตอบก็คือ เป็นพระสงฆ์ แถมเป็นพระอรหันต์ด้วยล่ะครับ

-องค์ซ้ายมือ ก็คือ พระมหากัสสปะ (ภาษาอังกฤษ เขียนว่า Mahakasyapa Arhat) ท่านเป็นผู้ริเรื่มการทำสังคายนาครั้งแรกหลังจากที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเช้าปรินิพพานไปแล้วครับ!

-องค์ขวามือ ก็คือ พระอานนท์ (Ananda Arhat) ผู้ที่คอยติดตามพระสมณโคดมหรือพระพุทธเจ้าครับ!!! 

​2. หอระฆัง สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2528 ที่ตัวระฆังจะมีการสลักอักษาคำว่า "พระพุทธศากยมุนี" พร้อมทั้งพระปรมาภิไธยย่อ จปร. และ ภปร. ครับ

​3. Goju-no-to (เจดีย์ 5 ชั้น) มีความสูงราว 30 เมตร สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2540 ใช้สำหรับเก็บพระสูตรที่พระสงฆ์ได้คัดลอกไว้ แถมถ้าใครมาเที่ยวตอนมีซากุระก็จะพบเจอได้ตรงเจดีย์แห่งนี้ล่ะครับ 

 4. ถือเป็น Highlight ของวัดเลยก็ว่าได้ นั่นคือ พระบรมรูปปั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ซึ่งสร้างเสร็จใน พ.ศ. 2530 อยู่ใกล้กับพระอุโบสถ โดยพระบรมรูปปั้นนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จมาทำพิธีเปิดพระบรมรูปปั้นฯ เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2530 และเมื่อถึงวันปิยมหาราชของทุกปีก็จะมีชาวไทยในเมืองนาโงย่านำดอกไม้มาถวายที่พระบรมรูปปั้นด้วยครับ _/\_

​5. Hondo (พระอุโบสถ) สร้างเสร็จเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้วนี่เองครับ (2527) ภายในใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่รัชกาลที่ 5 และ 9 พระราชทานมาให้ครับ (พระประธานในรูปประกอบด้านล่างเป็นของในหลวงที่พระราชทานให้กับวัด) ผมเข้าไปชมด้านในก็พบว่ามีชาวญี่ปุ่นมาทำบุญกันพอสมควร บางคนก็มาขอให้พระสงฆ์ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาให้ด้วย นอกจากนี้ทางวัดก็มีการสวดมนต์ในเวลาเที่ยงครึ่งของทุกวันสำหรับผู้สนใจด้วยนะครับ (ไม่จำเป็นต้องบริจาคก็ได้) 

-นอกจากพระประธานที่สวยงามแล้ว ยังมีแผ่นไม้ที่ผมเกริ่นไว้ตอนต้นที่เป็นพระปรามาภิไธยของรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 9 ตั้งอยู่ด้วยนะ เข้าไปที่อุโบสถยังไงก็เจอครับ...ก็ขอเชิญสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามศรัทธากันนะครับ ^^

ภายในอุโบสถครับ ส่วนตัวถือว่าสวยงามแบบเรียบง่ายครับ
หน้าตาของอุโบสถครับ

6. Hoanto (เจดีย์) นี่ก็คือเจดีย์ที่ใช้บรรจุพระบรมสารรีริกธาตุนั่นเองครับ! เจดีย์ดังกล่าวสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2461 

หากจะชมเจดีย์ ผมขอบอกก่อนว่าจะต้องเดินออกจากวัดไปอีกหนึ่งสี่แยกไฟแดงครับ (เพราะที่ดินของวัดมีสองผืนแยกกัน) และขอเตือนว่า ปกติเจดีย์ดังกล่าวจะไม่เปิดให้เข้าไปชมครับ ชมได้แค่จากภายนอกประตูเท่านั้น เท่าที่ผมค้นข้อมูลก็พบว่าวัดจะกำหนดวันเปิดให้เข้าไปสักการะเป็นพิเศษไม่กี่วันเท่านั้นครับ คือ

-->วันที่ 15 กุมภาพันธ์, 8 เมษายน, 15 มิถุนายน, 15 พฤศจิกายน และ 8 ธันวาคม ของทุกปี  ***ทั้งนี้กรุณาตรวจสอบเวลาการเปิดปิดเจดีย์จากทางวัดอีกครั้งเพื่อกันการเสียเที่ยวนะครับ (ที่อยู่และเบอร์ติดต่อของวัดอยู่ด้านล่างของบล็อกนี้)

ตัวผมเองก็ไม่ได้เดินไปที่ส่วนนี้ครับ เพราะรู้ว่าไปไม่ตรงวันเปิดนั่นแหละครับ (ผมไปวันที่ 9 เมษายน 2559 เฉียดไปวันเดียว!!!)  อ้อ! ใครที่คิดว่าญี่ปุ่นจะทำช่องให้ดูพระบรมสารีริกธาตุแบบบางประเทศนั้น เลิกล้มความคิดนั้นไปเลยนะครับ พระบรมสารีริกธาตุถูกบรรจุไว้ในเจดีย์เรียบร้อยและไม่มีการเจาะช่องให้ดูแต่ประการใดครับ!!!

เจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุแห่งนี้ถือเป็นผลงานชิ้นเอกของประเทศญี่ปุ่นชิ้นหนึ่งนะครับ! ที่มา http://1.bp.blogspot.com/-IqzbUHTN5XE/UzJAjxZmj5I/AAAAAAAAODk/GZvFa1oPrtI/s1600/dsc_0081.jpg

 ของแถม​

ตลาดนัดในวัด!!!  แค่อยากบอกให้ทราบว่า ลานของวัดจะถูกใช้เป็นที่จัดตลาดนัดทุกวันที่ 21 ของเดือน ภาษาญี่ปุ่นเขาเรียกว่า "Kobo-san" ในงานก็มีการออกร้านรวงและขายของสารพัดสิ่งให้เลือก (ส่วนใหญ่จะเป็นคนสูงอายุเดินซะมากกว่านะครับ) ส่วนเวลาเปิดของตลาดก็จะเริ่มตั้งแต่เก้าโมงเช้ายันบ่ายสองของวันที่จัดงานครับ ท่านผู้อ่านที่อยากได้บรรยากาศงานวัดบ้านๆ ที่มีแต่คนญี่ปุ่นเดินจริงๆ ผมก็ขอแนะนำว่าควรมาลองเดินให้ตรงวันดูก็น่าจะดีไม่น้อยครับ

หน้าตาของตลาดนัดที่จัดในวัด ที่มา http://kikuko-nagoya.com/html/nittai-ji.html

​ประสบการณ์ตรงที่วัด

ตัวโอทารุเดินทางมาที่วัดเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2559 อากาศที่นาโงย่าวันนั้นไม่ร้อนไม่เย็น แต่ก็ตั้งใจเดินทางไปวัดเต็มที่ ปรากฏว่า...ก่อนที่จะถึงวัดผมก็เจอ "ตลาดนัด" แบบญี่ปุ่นแท้ๆ ที่ถนนหน้าวัด เฮ้ย! คือดีใจมาก เพราะป้ายขายของมีแต่ภาษาญี่ปุ่น คนเดินก็มีแต่ชาวญี่ปุ่น แถมบางคนใส่ชุดยูกาตะเดินกันสบายๆด้วย (มีฝรั่งหัวทองบ้างนิดหน่อย แต่ดูแล้วน่าจะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเพราะเดินอยู่กับคนญี่ปุ่นวัยรุ่น) ส่วนที่ผมดีใจมากๆๆ ก็คือ การที่ผมไม่ต้องประสบกับ "ทัวร์ยกธง" ชาติใดๆเลยแม้แต่กลุ่มเดียว" บอกเลยว่า ดีใจสุดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ นี่แหละความสงบที่ใฝ่หาเวลามาเที่ยวญี่ปุ่น!!! 

สำหรับตลาดนัดหน้าวัดนี้ ผมไม่แน่ใจว่าเทศบาลเขาจัดต้อนรับเทศกาลซากุระหรือจัดเป็นประจำสัปดาห์อยู่แล้วนะครับ จนปัญญาจะสอบถามจริงๆ เพราะภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ได้แตกฉานซะด้วยสิ! แต่สถานที่แบบนี้ผมออกตัวเชียร์จริงๆ! ถ้าเพื่อนๆคนไหนชอบอะไรที่ "กระแสท่องเที่ยวน้อย" ก็เชิญดูภาพบรรยากาศที่ผมไปเก็บภาพมาได้เลยครับ ส่วนการเดินทางมาที่วัดแห่งนี้ เลื่อนลงมาอีกนิดเดียวก็จะเจอแล้วครับ ^^

เหล่าเด็กๆ ออกมาทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวในวันหยุด ^^
งานที่นี่ของเยอะมากเลยครับ ถ้าเราเดินเงียบๆ ก็กลมกลืนกับชาวญี่ปุ่นแถวนี้เหมือนกันนะจะบอกให้ อิอิ
อีกหนึ่งบรรยากาศที่ผมชอบมากครับ

 วิธีการเดินทาง

ทำชีวิตให้ง่ายที่สุดและไม่ปวดหัว ก็คือ การนั่งรถไฟใต้ดินสายสีเหลือง (Higashiyama Line) มาลงที่สถานี Kakuozan (สถานี H15) เพื่อนๆที่พักโรงแรมแถวสถานีรถไฟนาโงย่าทั้ง JR หรือ Meitetsu รวมถึงย่านซากาเอะก็ยิงตรงมาเลย ไม่ต้องเปลี่ยนสายรถไฟให้ปวดหัว ส่วนท่านใดที่จะมาจากปราสาทนาโงย่าก็ต้องทำการเปลี่ยนจากสายสีม่วง (Meijo Line) มาใช้สายสีเหลืองแทนก่อนนะครับ!

ถึงสถานี Kakuozan แล้ว ขอใหหาทางออก "Exit No 1" เมื่อขึ้นมาถึงพื้นดินแล้วจะเจอถนนใหญ่ หันขวาแล้วเดินไปประมาณ 30 เมตร จะเจอ Starbucks อยู่ด้านขวามือ ให้คุณผู้อ่านหันขวาอีกทีจะเจอถนน จากตรงนี้ให้เราเดินตรงอย่างเดียว 500 เมตร สุดถนนก็จะเจอประตูทางเข้าวัดอยู่โดดเด่นเป็นสง่า (ดูรูปประกอบ) แล้วก็เชิญสาวเท้าเข้าวัดได้ตามชอบใจเลยครับ อ้อ! วัดนี้เข้าฟรีด้วยล่ะ ไม่ต้องจ่ายค่าเข้าแต่อย่างใด!!! ดีจริงๆ ^^

จากถนนใหญ่ เดินตรงมาเรื่อยๆ ยังไงก็ไม่พลาดครับ วัดใหญ่ๆในย่านนี้มีแค่วัดนี้ที่เดียวครับ

เป็นอย่างไรกันบ้างครับเพื่อนๆ??? โอทารุหวังว่าหลังจากการอ่านบล็อกนี้จบแล้ว เพื่อนๆผู้อ่านคงจะได้ข้อมูล "แปลกใหม่" ในญี่ปุ่นนะครับ ถ้าชอบความสงบและมีเวลาก็อยากให้มาลองเดินชมกันดูเพราะมีความเกี่ยวเนื่องกับประเทศไทยอย่างน่าสนใจมากทีเดียวครับ 

อย่างไรก็ตามหากเพื่อนๆที่ไม่ชอบเข้าวัดวาอารามเท่าไหร่ ก็อาจจะไม่อินมาก ของอย่างนี้อยู่ที่ความชอบส่วนบุคคลจริงๆ สไตล์ใครสไตล์มันนั่นแหละครับ! ก็ไม่เป็นไรเนอะ! ส่วนตัวกระผมถือว่าอย่างน้อยผมก็ช่วยเปิดตัว "วัดแห่งใหม่" ให้เพื่อนๆได้รู้จักครับ เวลามาเที่ยวจะได้ไม่ไปเที่ยวแต่ที่เดิมๆ แล้วบ่นว่า "เมืองนี้ไม่มีอะไร" เพราะผมเชื่อว่าไม่ว่าเมืองไหนในโลกใบนี้ล้วนมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจซ่อนอยู่ครับ เพียงแต่ว่าตัวเรานั่นแหละ "ยินดี" ที่จะเปิดรับแล้วออกเดินทางหรือไม่? ถ้าหากเราเต็มใจที่จะเดินทาง ผมเชื่อว่าการท่องเที่ยวในชีวิตของเรานั้น ไม่มีคำว่าสิ้นสุดแน่นอนครับ ขอเพียงเรา "กล้า" ที่จะก้าวออกมาจากสถานที่ที่เราคุ้นชินเท่านั้นเอง!.....แล้วคุณผู้อ่านล่ะครับ พร้อมออกเดินทางค้นหาญี่ปุ่นในมุมมองใหม่ๆกันไหมครับ? สำหรับโอทารุน่ะ พร้อมจะเดินทางมานานแล้วววว Go go go!!!!!

ที่มาของภาพ

-ทุกภาพที่มีการลงลายน้ำ เป็นภาพจากกล้องของโอทารุทั้งหมด ห้ามผู้ใดนำไปใช้หรือเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาตครับ ถ้าพบเจอ "ผมมีเวลาขึ้นศาลนะครับ" 

-ภาพใดที่ไม่มีการลงลายน้ำ มีแจ้งไว้ใต้ภาพแล้วว่ามาจากที่ใด ใครจะนำภาพไปใช้ กรุณาให้เครดิตเจ้าของภาพหรือทางวัดด้วยครับ

-ภาพปก นำมาจาก http://cdn.c.photoshelter.com/img-get/I0000dF92WVWnYzE/s/860/860/Japan-Shrine-Temple-Sakura.jpg

ที่มาของประวัติวัด

-แผ่นพับจากวัด 日泰寺 ภาคภาษาไทย

-เว็บไซต์ของวัด http://nittaiji.jp/kakuouzan/index_en.html

-เว็บไซต์ http://kikuko-nagoya.com/html/nittai-ji.html

***คำราชาศัพท์ที่ผมใช้อาจไม่ถูกหลักไวยากรณ์อยู่บ้าง ถ้าท่านใดสามารถแนะนำให้ถูกหลักการเขียนได้ก็สามารถแจ้งผมได้นะครับ

ที่อยู่ของวัดและหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อ

Nittai-ji
1-1 Hoho-cho, Chikusa-ku, Nagoya
Tel: 052-751-2121
Fax: 052-752-1115

ติดต่อโอทารุผู้เขียนบล็อกนี้ได้อย่างไร?

หากเพื่อนๆมีข้อสงสัยเรื่องการท่องเที่ยวญี่ปุ่นแล้วอยากสอบถาม --> เชิญ add friend ทาง Facebook ครับ พิมพ์คำว่า Otaru Taichou ในช่องค้นหา เดี๋ยวว่างๆ ผมจะเข้าไป add เองครับ หรือติดต่อมาที่ otaru.taichou@gmail.com ก็ได้ แต่อีเมลล์อาจจะตอบช้านะครับ! 

บทความล่าสุด