t ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น

รีวิวสายการบิน ANA เส้นทางกรุงเทพ-โตเกียว : ความสบายสไตล์ญี่ปุ่นแสนประทับใจ

รีวิวสายการบิน ANA เส้นทางกรุงเทพ-โตเกียว : ความสบายสไตล์ญี่ปุ่นแสนประทับใจ

By , Monday, 10 June 2019

​สวัสดีครับเพื่อนๆทุกคน ตอนนี้ญี่ปุ่นก็เข้าสู่ช่วงหน้าร้อนกันแล้วนะครับ แน่นอนว่าอากาศที่เคยหนาวเหน็บและเย็นสบายก็เริ่มจะน้อยลงไปพร้อมกับเริ่มมีความร้อนเข้ามาแทนที่ คนทั่วไปก็เริ่มแต่งตัวตามสบายและไม่ต้องสวมเสื้อโค้ทตัวหนาๆกันแล้ว...ฟังดูแล้วหน้าร้อนอาจจะน่ากลัวสำหรับเพื่อนๆใช่ไหมครับ แต่ผมอยากจะบอกว่า "หน้าร้อนนี่แหละ หน้าตั๋วโปร" หากใครที่ชอบของดีราคาถูกทั้งส่วนลดพิเศษจากโรงแรมและสายการบินก็ไม่ควรพลาดนะครับ อีกอย่างหน้าร้อนที่ญี่ปุ่นเนี่ย พระอาทิตย์ขึ้นตีสี่และตกตอนทุ่มนึงด้วยครับ ใครเป็นสายถ่ายรูปน่าจะชอบแน่ๆเพราะแสงธรรมชาติยาวนานจริงๆครับ ^^

ไหนๆก็พูดถึงหน้าร้อนญี่ปุ่นกันไปคร่าวๆแล้ว ผมเองก็เคยบินไปญี่ปุ่นหน้าร้อนด้วยตั๋วโปรเหมือนกัน ที่สำคัญคือ ได้บินสายการบินสัญชาติญี่ปุ่นที่หลายๆคนรู้จักกันดีอย่าง All Nippon Airways (ANA) ดังนั้น โอทารุก็เลยถือโอกาสนี้เก็บข้อมูลสำคัญต่างๆที่เกี่ยวข้องมารีวิวให้เพื่อนๆได้อ่านเป็นข้อมูลสำหรับการเลือกสายการบินกันครับ!

​ก่อนอื่น ขอบอกก่อนว่า สายการบินสัญชาติญี่ปุ่นที่บินตรงจากกรุงเทพถึงเมืองต่างๆในญี่ปุ่นตอนนี้ (ข้อมูล ณ มิถุนายน 2019) มีทั้งหมด 3 สายการบิน นั่นคือ Japan Airlines (JAL), All Nippon Airways (ANA) และ Peach Aviation (เป็นบริษัทลูกของ ANA) โดยทำการบินตรงจากสุวรรภูมิสู่เมืองใหญต่างๆ ของญี่ปุ่น เช่น โตเกียว โอซาก้า นาโงย่า โอกินาวะ (แต่ซัปโปโรต้องต่อเครื่องที่โตเกียว/โอซาก้าก่อนนะครับ) ดังนั้น สายการบินทั้งสามก็ได้รับความนิยมจากนักเดินทางชาวไทยพอสมควรแม้จะไม่มากเท่ากับ Low Cost Carrier อย่างแอร์เอเชียและนกสกู้ตครับ 

​สำหรับในบล็อกนี้ โอทารุขอรีวิวการใช้บริการของสายการบิน ANA เส้นทาง Bangkok-Haneda-Narita-Bangkok นะครับ โดยเหตุผลที่ผมเลือกสายการบิน ANA ในครั้งนี้ก็เพราะว่า

1.สายการบิน ANA เป็นพันธมิตร Star Alliance ซึ่งการบินไทยก็อยู่ในกลุ่มนี้ ทำให้ผมสามารถ "สะสมไมล์" ร่วมกับบัตร Royal Orchid Plus ได้ครับ

2.สายการบิน ANA (JAL ด้วย) อนุญาตให้ผู้โดยสารชั้นประหยัดสามารถโหลดกระเป๋า "FREE คนละ 2 ใบๆละ 23 กิโลกรัม" และยังให้ Carry-on ได้อีกคนละ 7 กิโลกรัม เท่ากับว่า หนึ่งคนได้น้ำหนักสูงสุด ถึง 53 กิโลกรัมโดยที่ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มอีกแล้ว!!! นั่นหมายถึง ถ้าใครเป็นขา shopping ก็ไม่ต้องไปปวดหัวกับเรื่องน้ำหนักขากลับไปได้เยอะทีเดียวครับ ให้เยอะมากจริงๆ (อย่างไรก็ตาม ผมขอเตือนว่า เราไม่สามารถโหลดกระเป๋าใบเดียว 46 กิโลกรัมได้นะครับ ต้องกระจายเป็นสองใบเท่านั้น)  

3.เดี๋ยวนี้โปรโมชั่นของ ANA ที่ออกมาหลายครั้งนั้น "ตั๋วถูกกว่าการบินไทย" อันนี้บอกตรงๆว่า "โดนครับ"  --> ทริปนี้ผมได้ราคาตั๋วที่ 18,100 บาทถ้วน ไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มอีกแล้ว

4.ช่วงเวลาที่บินตรงตามความต้องการ คือ มีเที่ยวบินขาไปบินดึกถึงเช้า และขากลับบินเย็นถึงค่ำ 

5.อยากสัมผัสบริการแบบญี่ปุ่นแท้ๆดูบ้างว่าจะเหมือนที่โฆษณากันไว้ตามหน้าเพจชวนเที่ยวญี่ปุ่นทั้งหลายหรือเปล่า

ว่าแล้วเดี๋ยวเรามาเริ่มรีวิวกันเลยนะครับ!!!

​ก่อนที่จะไปในส่วนของสนามบินสุวรรณภูมิ ผมขอบอกความชอบส่วนตัวของเว็บไซต์ ANA สักนิด นั่นคือ เว็บไซต์นี้นอกจากจะบอกข้อมูล/จองตั๋วเครื่องบินแล้ว เรายังสามารถเข้าไปคลิกดูเมนูประจำเดือนของเที่ยวบินที่เราจะบินในเดือนนั้นๆได้เลย ดูล่วงหน้าหลายเดือนก็ได้นะครับ รูปภาพประกอบอะไรก็มีพร้อม ดูแล้วน่าทานไปหมด ที่สำคัญคือ ถ้าเราเป็นผู้โดยสารจะได้ตั้งรับได้ถูกว่าเขาจะเสิร์ฟอะไร ใครแพ้อาหารชนิดไหนก็จะได้รีเควสทางสายการบินได้แต่เนิ่นๆด้วยไงครับ นอกจากนี้ หมวดหมู่อาหารยังหาง่ายไม่ต้องคลิกเข้าไปเยอะเหมือนบางสายการบินด้วย ก็นับว่าสะดวกกับผู้โดยสารอย่างเรากันจริงๆครับ

​เริ่มต้นกันที่สนามบินสุวรรณภูมิเลยครับ เที่ยวบินที่ผมจองไว้เป็นเที่ยวบินที่ออกจากกรุงเทพฯ ตอน 22:05 น. ดังนั้นเพื่อเป็นการไม่ประมาทผมจึงรีบออกจากบ้านและเดินทางมาถึงสนามบินประมาณ 19:30 น. ครับ โดยให้มาเข้าแถวเช็กอินได้ที่เคาน์เตอร์แถว L นะครับ (หาไม่ยากแน่นอน) สำหรับการเช็คอิน ถ้าเรามี app ของ ANA ก็สามารถทำ online check-in ในระบบมาจากบ้านได้เลยครับ แล้วพอมาถึงก็เดินเข้าแถวพิเศษได้ อย่างไรก็ตาม ตัวผมเองเดินเข้าแถวปกติได้เลยเพราะแทบไม่มีผู้โดยสาร 555 คือ เดินไปหาเจ้าหน้าที่ได้เลยโดยมีคิวก่อนหน้าผมแค่คนเดียวเองครับ สบาย อิอิ

ขั้นตอนในการเช็กอินก็ปกติทั่วไปครับ ยื่น passport พร้อมบอกเที่ยวบิน หรือจะยื่นใบจองที่ปริ้นท์มาจากระบบก็ได้ ส่วนที่นั่งรอบนี้ ผมรีเควสริมหน้าต่างไว้ก็ได้มาอย่างง่ายดายครับ (ก็ไฟลท์ไม่เต็มอ่ะนะ เจ้าหน้าที่บอก) จากนั้นก็รอรับ boarding pass แล้วก็เดินเข้าไปที่ด่าน ตม. จากนั้นผมก็ผ่าน auto gate ไปรอขึ้นเครื่องที่หน้า Gate E1 ซึ่งผู้โดยสารที่มารอนั้น เท่าที่ดูด้วยสายตาคือ ส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่นครับ เห็นชัดๆเลยคือ นักธุรกิจที่มาแบบเนี้ยบๆ เยอะเลย ส่วนผู้โดยสารชาวไทยวันนั้นมีไม่มากนัก (ไม่มีทัวร์ยกธงเลยแม้แต่กลุ่มเดียว) บรรยากาศค่อนข้างสงบทีเดียวครับ

ไฟลท์ที่จะทำการบินวันนี้คือ NH850 เส้นทาง BKK (กรุงเทพฯ) - HND (ฮาเนดะ) 22:05 น. - 06:10 น. (+1) เป็นไฟลท์ที่บินทุกวัน บินออกจากกรุงเทพฯช่วงกลางคืนแล้วไปลงจอดที่ญี่ปุ่นตอนเช้าตรู่ครับ

เมื่อเข้ามาในเครื่องบินแล้ว CA (Cabin Attendant) ก็จะขอดูหมายเลขที่นั่งจาก boarding pass และชี้ทางไปยังที่นั่งครับ เครื่องบินที่ทำการบินในวันนี้เป็นเครื่อง Boeing 787-8 Dreamliner ซึ่งเป็นเครื่องบินรุ่นหลักของฝูงบิน ANA ครับ แต่ขอบอกนิดนึงว่าผังที่นั่งของเครื่องบินรุ่นนี้จะแตกต่างกันเล็กน้อยเพราะบางรุ่นที่เป็น 787-9 จะมีที่นั่งประเภท Premium Economy เพิ่มมาด้วยครับ แต่เท่าที่ทราบ Premium Economy จะใช้บินในเส้นทาง Narita ซะมากกว่า ก็เลยไม่มีภาพมาฝากครับ

ผังที่นั่งของเครื่องบินในคืนนี้จะเป็น 2-2-2 สำหรับ Business Class และ 3-3-3 สำหรับ Economy Class ครับ ทั้งลำมีแค่สอง class นี่แหละ อ้อ! ผมแถม Seat Pitch กับ Seat Width ให้ด้วย

Business Class : Seat Pitch 59 นิ้ว Seat Width 21.5 นิ้ว

Economy Class : Seat Pitch 31 นิ้ว Seat Width 18.6 นิ้ว

*ทุกที่นั่ง ทุก Class มีจอทีวีส่วนตัว มีที่ชาร์จแบตเตอรี่ พร้อมปลั๊กไฟ ส่วนหมอน+ผ้าห่มถ้าไม่มีมาวางไว้บนที่นั่งก็ขอได้ฟรีครับ ตัวที่นั่งจะเป็นโทนสีเทาและถาดพับสามารถเปิดลงมาบางส่วนพร้อมหลุมวางแก้วน้ำไม่ให้ตกหล่น จอทีวีมีช่องเสียบ USB พร้อมช่องเสียบหูฟังและรีโมทสำหรับควบคุมทีวีหรือจะกดผ่านจอก็ได้เพราะมีระบบ Touch Screen ด้วยครับ! สำหรับผมที่มีความสูงแค่ 161 เซนติเมตรก็พบว่านั่งสบายไม่อึดอัด

ไฮไลต์ที่เพื่อนๆหลายคนอาจจะยังไม่เคยลองก็คือ เครื่องบินรุ่นนี้ "ไม่มีแผ่นปิดบังแดด" แล้วนะครับ นึกถึงไอ้เจ้าแผ่นที่เรายกขึ้นยกลงตอนแสงอาทิตย์ส่องตอนเราแสบตากันอ่ะ นึกออกกันไหมครับ บนเครื่องบินรุ่นนี้เขาไฮเทค ใช้เป็นกดปุ่มเพื่อเพิ่ม/ลดความเข้มข้นของฟิล์มบนกระจกหน้าต่างเครื่องบินแทนแล้วจ้า!!! เลิศจริงๆ ปุ่มที่ว่านี้ปรับความเข้มได้หลายระดับด้วยครับ ได้ตั้งแต่ใสมากยันมืดเลย เด็ดจริงๆ ^^

อีกหนึ่งไฮไลต์ที่ "โคตรโดนใจ" ผมมากๆก็คือ "ห้องน้ำ" ครับ 555 ฟังดูอาจจะงง แต่ผมอยากบอกว่า ห้องน้ำบนเครื่องของ ANA เป็นระบบ Auto นะครับ พูดง่ายๆ ก็คือ บนเครื่อง "มีระบบล้างก้นอัตโนมัติและ Bidet สำหรับสุภาพสตรี" แบบที่ญี่ปุ่นเลย!! แถมตรงชักโครกก็เป็น sensor ด้วย ไม่ต้องมือสกปรกเลย...ตรงนี้มัดใจผมจริงๆครับ หมดเวลาใช้กระดาษเช็ดเวลาทำธุระหนักๆให้แสบอีกต่อไป เชื่อเถอะครับ คนถ่ายบ่อยๆจะเข้าใจว่าการใช้น้ำล้างมันสบายกว่าใช้กระดาษเยอะ ดังนั้นเรื่องห้องน้ำบนฟ้าของสายการบินนี้คือสุดยอดประทับใจสำหรับผมจริงๆ!!! 

มาดูรูปกันเถอะ ว่ามันมีปุ่มปรับระดับความเข้มกระจกจริงๆ รวมทั้งปุ่ม Auto ในห้องน้ำด้วย...ผมไม่ได้โม้ (จริงๆก็ลองใช้มาแล้วด้วยแหละครับ สบายก้นมาก)

​ย้อนกลับมาที่ตัวระบบ entertainment กันบ้าง รายการของสายการบิน ANA จะเน้นญี่ปุ่นซะส่วนใหญ่นะครับ คือ จะมีละครหรือหนังญี่ปุ่นเยอะมากกกกกกกก แต่ไม่ต้องห่วงครับ คอ Anime อย่างผมก็ไม่ต้องหวั่นใจเพราะมีให้เลือกดูหลายเรื่องเหมือนกัน ซึ่งรอบนี้ผมเองก็นั่งดู "โคนัน" แบบเพลินๆครับ บอกก่อนว่า ถ้าเพื่อนๆคนไหนอ่านภาษาอังกฤษไม่ได้อาจจะเสียเปรียบสักหน่อย เพราะเครื่องของ ANA มีรายการหนังไทยหรือซับไทยค่อนข้างน้อยมากครับ ถ้าอ่าน/ฟังญี่ปุ่นได้แตกฉานก็ไม่มีปัญหา ไม่งั้นก็ต้องเลือกเป็นพูดหรือซับอังกฤษ แต่หากใครที่ได้แต่ภาษาไทยอย่างเดียว ผมแนะนำว่าถ้าไม่โหลดหนังมาลงมือถือตัวเองก็นั่งเล่นเกมในทีวีน่าจะช่วยแก้เซ็งได้ครับ 

รายการทีวีที่เป็นหลักก็จะมีหนัง Hollywood ทั้งหลายแหล่ แต่อาจจะช้ากว่าในโรงหนังบ้านเราไปประมาณนึงนะครับ แต่คุณหนูๆก็มีการ์ตูนให้ดูครับ ส่วนลูกเล่นที่น่าสนใจก็จะเป็น Interactive World Map ที่จับตำแหน่งของเครื่องบินของเราแบบ Real Time ครับ เราสามารถดูข้อมูลได้ตลอดเที่ยวบินว่าเราอยู่ตรงไหน เหลือเวลาบินเท่าไหร่ ฯลฯ 

ในส่วนของการบริการนั้น ก็เป็นเอกลักษณ์ญี่ปุ่นดีนะครับ พอเครื่องบินปิดประตูแล้ว CA จะโค้งทักทายสไตล์ญี่ปุ่นภายในเคบินให้กับทุกคนแล้วก็เปิดวิดีโอสาธิตเรื่องความปลอดภัยตามขั้นตอนปกติ พอเครื่องไต่ระดับความสูงเรียบร้อยแล้ว ไม่นาน CA ก็จะเริ่มเดินแจกถุงอาหารว่างและบริการน้ำดื่มชนิดต่างๆ น้ำดื่มที่ผมว่านี้ ถ้าใครเพิ่งบินสายการบินแบบ full service ครั้งแรก ผมบอกเลยครับว่า "ขอได้เลย ฟรี จะขอสองสามแก้วก็ได้ ปกติจะมีน้ำผลไม้เช่น แอปเปิ้ล ส้ม หรือน้ำอัดลมอย่างโค้กก็มี ส่วนใครชอบดื่มเบียร์ดื่มเหล้าก็ขอได้ เบียร์มาเป็นกระป๋องเลยครับ นั่งดื่มได้ชิวๆ ส่วนเหล้าปกติจะชงมาเป็นแก้ว พวก cocktail ก็ขอได้ แต่ต้องบอก CA หน่อยเพราะเขาต้องใช้เวลาชงนิดหน่อยครับ อ้อ! พวกไวน์ขาวไวน์แดงก็ขอได้เลยนะครับ แต่จะมาในแก้วพลาสติกนะ" ผมเองก็ง่วงๆ เลยสั่งแค่น้ำแอปเปิ้ลแก้วเดียว 

พูดมาถึงย่อหน้านี้ ใครที่กังวลว่า "เฮ้ย ถ้าฉันพูดได้แต่ภาษาไทย กลัวคุยไม่รู้เรื่อง/ฟังไม่รู้เรื่องอ่ะ ทำไง" ผมก็ขอคลายข้อกังวลนั้นไว้ตรงนี้เลยว่า "ANA มีลูกเรือคนไทยครับ ไม่ต้องกลัว ตอนประกาศบนเครื่องก็มีภาษาไทยด้วย สบายใจได้" แน่นอนว่า ไฟลท์นี้ก็มีลูกเรือชาวไทยด้วยเช่นกัน!

ถุงอาหารว่างในไฟลท์ NH850 จะมีคุกกี้ พาย น้ำแร่ และผ้าเย็นครับ ถ้าใครยังไม่กินบนเครื่องก็สามารถเก็บทั้งถุงติดตัวลงมาได้ แต่ถ้าพายนั้นเป็นพวกเนื้อสัตว์ต้องกินให้หมดก่อนผ่านศุลกากรนะครับ เพราะญี่ปุ่นเพิ่งออกกฎหมายควบคุมการนำเข้าเนื้อสัตว์มาใหม่ อะไรที่เป็นพวกผลิตภัณฑ์จากเนื้อวัว เนื้อหมู ถ้าตรวจเจออาจจะโดนให้เอาทิ้งหรือโดนปรับเงินได้ครับ (สำหรับถุงอาหารที่แจกก็ทนอยู่นะครับ ทุกวันนี้ผมยังเอามาใส่ยาเวลาไปโรงพยาบาลอยู่เลยเพราะมีเชือกผูกปิดเปิดปากถุงด้วย ของ ANA เขาดีนะ 555

​หลังจากขึ้นบินและแจกถุงอาหารว่างไปสักพักใหญ่ ภายในเคบินจะเริ่มหรี่ไฟให้เรานอนกันครับ ใครที่ยังไม่ง่วงหรืออยากโต้รุ่งก็เปิดไฟส่วนตัวได้ครับ (สวิทช์อยู่ที่รีโมททีวี) ส่วนใครจะนอนก็จัดไป ผมเองก็นอนครับและโชคดีมากๆ ที่แถวของผมนั้น ตรงกลางว่าง! ก็เลยแบ่งที่นั่งกับคุณน้าญี่ปุ่นอีกคนที่นั่งริมทางเดินได้สบายๆ แล้วก็หลับไปได้ประมาณสามชั่วโมงครับ!

มาตื่นอีกทีก็ตอนที่เวลาราวๆตี 4 ตามเวลาญี่ปุ่น (ของไทยคือ ตี 2) ภายในเคบินก็จะเริ่มเปิดไฟปลุกผู้โดยสารกันครับ ช่วงที่คนตื่นนี้ผมมองไปที่หน้าต่างก็เห็นท้องฟ้าเริ่มมีสีส้มแล้วล่ะ (หน้าร้อนที่ญี่ปุ่น พระอาทิตย์ขึ้นตอนตี 4 อ่ะนะ) ช่วงเพิ่งเปิดไฟนี้ถ้าใครท้องไส้เริ่มทำงานก็แนะนำให้ชิงเข้าห้องน้ำก่อนครับ เพราะหลังไฟสว่างไม่นาน CA จะค่อยๆเดินแจกอาหารเช้า (เดี๋ยวจะเข้าออกลำบากนั่นเอง) แน่นอนว่า ผมรู้เมนูอาหารเช้าตั้งแต่อยู่หน้าจอแล้ว ก็คิดไว้แล้วว่าจะเลือกอะไร

เมนูอาหารเช้าของไฟลท์นี้ จะมีสองรายการคือ 

1. Omelette (ไข่เปล่าๆไม่มีไส้) มะเขือเทศ ไส้กรอกไก่ มันฝรั่งต้ม พร้อมด้วยบะหมี่เย็น ผลไม้ และโยเกิร์ต

2. โจ๊กหอยลาย โรยด้วยถั่วลันเตานิดหน่อย พร้อมด้วยบะหมี่เย็น ผลไม้ และโยเกิร์ต (ผมเลือกชุดนี้ เพราะ Omelette กินจนเบื่อแล้ว)

**อาหารในแต่ละเดือนจะสับเปลี่ยนกันไป หากต้องการดูเมนูที่ update ก็อย่าลืมเข้าไปตรวจสอบก่อนบินนะครับ!

ดูอาหารในภาพได้ครับ โจ๊กมีรสชาติกลางๆ ไม่เข้มข้นอะไร หอยลายทานได้ แนะนำให้คลุกกับโจ๊กไปเลย ถามว่าอิ่มไหม ก็หลวมๆครับ ถ้าคุณกะว่ากินเอาแรงเที่ยวไม่ซัดอะไรต่อจนถึงเที่ยง ผมแนะนำให้เลือกชุด Omelette ดีกว่า อิ่มแน่ แต่ถ้าใครวางแผนลงเครื่องจะไปเข้าตลาดปลาหรือไปกินเป็นเรื่องเป็นราวในโตเกียวต่อก็เลือกโจ๊กไปก็พอ เลือกตามชอบเลยครับ (เตือนว่า ถ้าคุณนั่งแถวท้ายๆ Omelette อาจจะหมดก่อนนะครับ เพราะผู้โดยสารบนเครื่องนั้น บางทีก็เป็นฝรั่งที่บินจากไทยมาต่อเครื่องที่โตเกียวก่อนกลับอเมริกาต่อ แต่ไฟลท์วันที่ผมไปมีฝรั่งน้อยมากครับ)

หลังเติมพลังและ CA ไล่เก็บถาดอาหารแล้ว ไม่นานผู้โดยสารจะเริ่มลุกไปเข้าห้องน้ำกันครับ ใครไปเข้ามาก่อนแล้วก็นั่งสบายๆไปเพราะหลังจากเก็บถาดอาหารแล้วเครื่องบินก็เตรียมลดระดับลงสู่สนามบินในโตเกียวกันแล้วครับ สำหรับใครที่นั่งริมหน้าต่างด้านซ้ายแบบผมๆเชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้ละว่าเพราะอะไรที่นั่งฝั่งนี้ถึงเต็มไว ^^

มา! ผมบอกให้เพื่อนๆรู้เลยละกัน "ขาไปโตเกียว (ทั้งสนามบินฮาเนดะและนาริตะ) ถ้านั่งฝั่งซ้ายของเครื่องบิน ตอนเครื่องลดระดับแล้วฟ้าเป็นใจ คุณจะเห็นภูเขาไฟฟูจิ" ตามนั้นครับ เจ้าหน้าที่สายการบินนี่น่าจะเบื่อรีเควสนี้แต่ก็นะทำไงได้ ก็ฟูจิซังสวยนี่นา ใครๆก็อยากเห็นล่ะนะ ยิ่งใครมาญี่ปุ่นครั้งแรกก็ย่อมตื่นเต้นและอยากเห็นเป็นธรรมดาครับ ^^

แน่นอนว่า อากาศต้องเป็นใจ แต่ด้วยโชคที่เข้าข้าง วันนี้ฟูจิซังก็เผยโฉมให้ผมเห็นและได้ถ่ายรูปแบบเต็มๆตา ถ่ายได้จุใจมากครับ ผมเห็นตั้งแต่เครื่องลดระดับจนกระทั่งล้อแตะพื้นที่สนามบินฮาเนดะเลยล่ะครับ! ชมภาพกันเลยครับ รับรองเห็นแบบผมแล้วฟิน!!!!!

จังหวะที่เครื่องบินกำลังลดระดับและเราเห็นฟูจิซังนั้น ขอเตือนว่า CA จะให้เรานั่งประจำที่และรัดเข็มขัดพร้อมกับห้ามลุกไปไหนแล้วนะครับ ดังนั้น เพื่อนๆที่หวังจะวิ่งมาถ่ายภาพแล้วกลับไปนั่งที่ตัวเองล่ะก็ "หยุดคิดเดี๋ยวนี้" เพราะอันตรายมากๆ หากเครื่องบินตกหลุมอากาศล่ะก็อาจได้รับบาดเจ็บถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลได้นะครับ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ วิธีที่ผมพอจะแนะนำได้คือ บอกเพื่อนที่นั่งฝั่งซ้ายช่วยฝากถ่ายให้หน่อย แต่ถ้ามาด้วยกันแล้วนั่งฝั่งขวาทั้งกลุ่ม.....อันนี้ก็ไม่รู้จะช่วยยังไงแล้วครับ T_T 

จุดหนึ่งที่ผมอยากกล่าวถึงก่อนจบเที่ยวบินขามาก็คือ ก่อนที่เครื่องจะทำการลดระดับนั้น CA จะเดินถือตะกร้าใบหนึ่งแล้วยื่นให้ผู้โดยสารครับ ตอนแรกผมนึกว่าช็อกโกแลต แต่มันคือ ลูกอมรสผลไม้! เราเลือกหยิบได้เลยครับ ผมเองก็หยิบมาสองอัน เป็นรส strawberry ถามว่าเป็นลูกเล่นยังไง!? นั่นคือ การอมลูกอมตอนเครื่องบินลดระดับจะช่วยให้เราหายหูอื้อเร็วขึ้นครับ แน่นอนว่าจุดนี้ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ANA ไม่ต้องแจกก็ได้เปลือง cost ด้วย แต่การใส่ใจในเรื่องเล็กๆน้อยๆก็เป็นเอกลักษณ์ของชาวญี่ปุ่นอยู่แล้ว เขาเอามาประยุกต์ใช้ในการบริการก็ถือว่า "ได้ใจ" ผู้โดยสารอีกหลายๆคนเลยล่ะครับ!

จากนั้นไม่นานเครื่องบินลำนี้ก็ลงจอดที่สนามบินฮาเนดะโดยปลอดภัย และเมื่อเครื่องบินจอดสนิทแล้ว ผมก็สะพายเป้และเดินไปเข้าสู่ด่านตรวจคนเข้าเมืองต่อไปครับ อ้อ! ผมได้มีโอกาสเห็นการ "เรียงกระเป๋า" จากเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินของ ANA ด้วย จะบอกว่า เป็นระเบียบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ไม่มีการโยน แถมเรียงให้อย่างดี โอกาสบุบสลายแบบหลายๆสนามบินผมว่าเกิดยากแน่นอนครับ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความใส่ใจสไตล์ญี่ปุ่นที่ใครๆก็ชอบล่ะนะ 

และขอจบเนื้อหาครึ่งแรกในส่วนของขาไปไว้ตรงนี้ก่อนนะครับ ส่วนขากลับ ผมกลับทางสนามบินนาริตะ ใครจะพักสายตาก็พักไป ใครอยากอ่านต่อก็เลื่อนลงมาเลยจ้าาาา

ในขากลับ ผมเลือกไปทางสนามบินนาริตะก็เพราะว่าเที่ยวบินของ ANA ที่กลับไปกรุงเทพฯ จะมีเที่ยวบินช่วงเย็นแล้วก็ไปถึงกรุงเทพดึกๆให้เลือก แต่ถ้าเที่ยวบินทางสนามบินฮาเนดะในขากลับจะมีให้เลือกแค่เที่ยวบินช่วงเช้าและออกตอนเที่ยงคืนแล้วไปถึงไทยตอนตีสี่กว่าๆเท่านั้น (ส่วนตัวผมว่าแบบนั้นทรมานเพราะนอนบนเครื่องไม่น่าจะหลับสบาย ยกเว้นนอน Business Class ขึ้นไป) และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมต้องกลับทางนาริตะครับ!

***ขอเตือนว่า คุณต้องมาเช็กอิน+โหลดกระเป๋าที่ Terminal 1 นะครับ ไม่ใช่ Terminal 2 หรือ 3 อย่าสับสน แล้วก็ติดต่อเคาน์เตอร์ที่เป็น International Departure นะครับ (ANA มีหลายเคาน์เตอร์มากที่นาริตะ แต่บางอันจะเป็นแค่บินในประเทศ ระวังไปผิดแล้วจะเสียเวลาครับ)

ขั้นตอนการผ่าน ตม. และของเหลวรวมทั้งตัวสนามบินนาริตะ ผมจะไม่รีวิวนะครับ เพราะเนื้อหาจะยาวเกินไป แต่ขอข้ามไปที่ขั้นตอนการรอหน้า Gate ขาออกเลยก็แล้วกันนะครับ

ไฟลท์ขากลับในวันนี้ที่ผมใช้บริการคือ NH805 ออกจากนาริตะ เวลา 18:25 น. และถึงกรุงเทพฯ เวลา 23:10 น. (จริงๆมีอีกไฟลท์คือ NH807 จะออกก่อนที่เวลา 17:00 น. ถึงไทย 21:40 น. ครับ ตอนเลือกตั๋วก็ไม่ต้องสับสนนะครับ อันนี้ผมบอกเป็นข้อมูลนะ)

ก็มารอที่ Gate ตามเดิมและรอเรียกขึ้นเครื่องครับ ขากลับจะยังคงเป็น Boeing 787-9 Dreamliner ผังที่นั่ง 3-3-3 เช่นเคยครับ แต่ที่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อก็คือ ไฟลท์ไม่ค่อยเต็มแฮะ ขากลับผมก็นั่งกับเพื่อนที่มาด้วยกันแบบสบายๆ เพราะที่นั่งตรงกลางไม่มีคนนั่งด้วยล่ะ ^^ ระบบ entertainment ในเครื่องจะยังเป็นเหมือนขามาครับ ก็ดูกันไปเพลินๆ สักพักพอเครื่องไต่ระดับได้ที่แล้ว CA ก็จะเริ่มเดินเสิร์ฟของว่าง แล้วก็เครื่องดื่มต่างๆตามที่เราสั่งครับ จากนั้นไม่นานก็จะเป็นคราวของอาหารจานหลักกันครับ (ขากลับจะมีลูกเรือคนไทยด้วย) 

อาหารในไฟลท์ขากลับจะมี 2 เมนูให้เลือกเช่นเคย นั่นคือ

1. ไก่ทอดและผักราดข้าวสวย มาพร้อมสลัดสุขภาพแล้วก็หมู Pastrami ของหวานเป็นมูสแอปริคอท

2. อาหารทะเลเคี่ยวในซอสมะเขือเทศรสกะเพรา (ชื่อยาวมาก) มีข้าวแล้วก็กุ้ง/ปลากับผักนิดหน่อย มาพร้อมสลัดสุขภาพแล้วก็หมู Pastrami ของหวานเป็นมูสแอปริคอท แต่ใครเลือกเมนูนี้จะมีแถมขนมปังฝรั่งเศสให้ด้วยหนึ่งชิ้น

รอบนี้ผมถ่ายได้ทั้ง 2 เมนูครับเพราะสั่งคนละเมนูกับเพื่อนที่มาด้วยกัน เอาไปพิจารณาดูก็แล้วกันว่าชอบแบบไหน

ผมเองเลือกเมนูที่ 2 ซึ่งรสชาติโดยรวมก็บอกตรงๆว่า "แค่พอทานได้ อย่าให้คำว่ากะเพรามาหลอกจิตเราครับ มันไม่ได้เผ็ดเลย!!!" อันนี้เอาจริงๆครับ ส่วนตัวชอบอาหารชั้นประหยัดของป้าเอื้องมากกว่า (แม้หลายๆคนจะบ่นก็ตาม) คือ รสชาติอาหารขากลับนี่ออกแนวจืดๆน่ะครับ แต่สลัดใช้ได้ทีเดียว ส่วนของหวานก็มีเท่าที่เห็น ใครที่คาดหวังจะได้ทานไอศครีม Haagen-Dazs...คงต้องบอกว่า "ไม่มีนะครับ" อยากกินต้องไปบิน Cathay Pacific จ้าาาา

ทั้งนี้ ก่อนเครื่องจะร่อนลงที่ไทยสักประมาณชั่วโมงกว่าๆ CA จะเดินมาแจกขนมปังลูกเกดพร้อมผ้าเย็นและน้ำแร่อีกหนึ่งขวดให้ผู้โดยสารอีกครั้งครับ ใครไม่กินบนเครื่องก็เก็บกลับมากินที่บ้านได้ (ผมก็ทำงั้นแหละ เพราะอิ่มจากอาหารหลักไปแล้ว)

​เวลาขากลับผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆครับ ไม่นาน CA ก็ประกาศให้นั่งรัดเข็มขัดและรอเครื่องบินลดระดับเพื่อแตะล้อสู่สนามบินสุวรรณภูมิ (มีแจกลูกอมเพื่อลดอาการหูอื้อเหมือนขามา) และแล้วเมื่อถึงเวลาประมาณ 23:00 น. เครื่องบินของ ANA ก็ร่อนลงจอดที่รันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพพร้อมฝากความประทับใจในบริการที่ได้ใจโอทารุไปอีกนานจนถึงทุกวันนี้ครับ!

สรุป : สายการบิน ANA เป็นสายการบินสัญชาติญี่ปุ่นที่ยกความใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยตามสไตล์ญี่ปุ่นมาบนฟ้า มีระบบ entertainment ที่ดี แต่อาหารอาจจะไม่อลังการแบบหลายๆสายการบิน แต่ก็ทดแทนที่บริการได้อย่างดี มีลูกเล่นกระจุกกระจิกเช่น ห้องน้ำ auto แจกลูกอม การวางกระเป๋าที่เป็นระเบียบ และพนักงานที่ยิ้มแย้ม ตัวเครื่องบินก็ไฮเทคและนั่งสบาย เที่ยวบินไปโตเกียวก็ "บินตรง" แถมมีให้เลือกทุกช่วงเวลาตั้งแต่เช้า สาย บ่าย เย็น ดึก ปัจจุบันนี้ราคาตั๋วก็ไม่แพงมากแบบสมัยก่อนแล้ว ที่สำคัญ ANA ในช่วงหลังก็ชอบออกโปรโมชั่นราคาประหยัดมาคอยแย่งลูกค้า Low cost เหมือนกัน ซึ่งราคาโปรโมชั่นจะป้วนเปี้ยนอยู่ที่ราวๆ 13,000-14,000 บาท ซึ่งราคานี้ถือว่ายั่วใจมาก (เสียดายโปรฯนี้ผมซื้อไม่ทัน) ดังนั้น หากเพื่อนๆที่กำลังคิดว่าจะลองเปลี่ยนใจมาใช้บริการของสายการบินยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นบ้าง ผมก็คิดว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวและคุ้มราคามากจริงๆครับ ก็หวังว่ารีวิวนี้จะช่วยให้เพื่อนๆได้ทราบข้อมูลของสายการบิน ANA และเป็นประโยชน์ในการเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นนะครับ แล้วพบกันใหม่คร้าบบบบบ 

ภาพปกจาก Stylux

ภาพประกอบที่เหลือทั้งหมดเป็นของโอทารุ มีลายน้ำเรียบร้อย หากผู้ใดจะนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์กรุณาติดต่อขออนุญาตผมก่อนนะครับ! 

บทความล่าสุด