t ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น

รีวิวโรงแรม New Osaka Hotel : เดิน 3 นาทีก็ไปรอขึ้นชินคันเซนได้

รีวิวโรงแรม New Osaka Hotel : เดิน 3 นาทีก็ไปรอขึ้นชินคันเซนได้

By , Sunday, 20 January 2019

​สวัสดีครับทุกคน ในสัปดาห์นี้ โอทารุจะขอย้ายมาเที่ยวที่ฝั่งโอซาก้ากันบ้างหลังจากไม่ได้แวะมาเขียนเรื่องราวฝั่งนี้มาพักใหญ่แล้ว โดยสัปดาห์นี้จะขอเปิดเรื่องเกี่ยวกับการรีวิวโรงแรม ซึ่งมีที่ตั้งที่สะดวกและเหมาะกับนักเดินทางทั่วไปมาก ๆ ครับ เอาล่ะมาเริ่มกันเลยจ้า!

ที่ Osaka เราต้องเข้าใจก่อนว่า มันมีสถานีรถไฟสองสถานีที่ชื่อคล้ายกันคือ JR Osaka Station กับ JR Shin Osaka Station ทั้งสองสถานีนั้น "ไม่ได้เชื่อมกัน" และเดินถึงกันไม่ได้ (ห่างออกไปราว ๆ 4 กิโลเมตร) โดย Osaka Station จะใช้สำหรับขึ้นรถไฟธรรมดาหรือรถไฟด่วนเท่านั้น " ไม่มีชินคันเซนผ่านที่นี่ " ส่วน Shin Osaka Station จะอยู่ชานเมืองกว่าแต่ใครจะขึ้นชินคันเซนในเขตเมือง Osaka ต้องมาที่สถานีนี้เท่านั้น! อย่าสับสนนะครับ!

ที่ตั้งและการเข้าถึง

ก่อนอื่นต้องบอกว่า โรงแรม New Osaka Hotel นี้ ตั้งอยู่ที่บริเวณสถานี Shin Osaka นะครับ ไม่ใช่ Osaka เฉย ๆ ดังนั้น อย่าสับสนและอย่าลืมอ่านย่อหน้าด้านบนเพื่อความเข้าใจที่มากขึ้นนะครับ

โรงแรมแห่งนี้ต้องขอบอกว่า ทำเลดีจริง ๆ เพราะถ้าวัดระยะทางใน Google Map จากทางออกที่ใกล้ที่สุด (South Exit) แล้ว เราจะใช้เวลาเดินมาถึงหน้าโรงแรมก็แค่ประมาณ 3 นาทีกับระยะทางเพียง 250 เมตรเท่านั้น! ดังนั้น ใครที่รักความสะดวกแบบเดินนิดเดียวก็ขึ้นลงชินคันเซนหรือไปสนามบินคันไซได้ก็น่าจะชอบโรงแรมนี้ครับ

เอาล่ะ อันดับแรกมาดูแผนที่ของโรงแรมกันก่อนนะครับ

ตัวผมเองเข้าทางประตูด้านหลังของโรงแรม (ซึ่งใกล้กว่าประตูหลัก) ก็ให้ขึ้นบันไดเลื่อนมาที่ชั้น 2 เมื่อเดินเข้ามาด้านในก็จะเจอ Lobby ของที่นี่ซึ่งจะแอบดูเก่า ๆ นิดหน่อย มีการตกแต่งภายในเป็นแบบตะวันตกผสมผสานกับกลิ่นอายญี่ปุ่นครับ ส่วน Front นั้นค่อนข้างกว้างและมีพนักงานประจำตลอด 24 ชั่วโมงครับ แน่นอนว่าพนักงานสามารถพูดภาษาอังกฤษแบบพื้นฐานได้แน่นอน ดังนั้น ไม่ต้องกังวลว่าจะสื่อสารกันไม่รู้เรื่องนะครับ (ถ้าคุณพูดได้แค่ภาษาไทยก็ยื่นใบจองให้กับพนักงานแค่อย่างเดียวครับและเดี๋ยวพนักงานจะขอ Passport ไปถ่ายเอกสาร เราก็รอเซ็นเอกสาร จ่ายเงิน รับกุญแจ และหลังจากนั้นก็ขึ้นห้องไปพักผ่อนได้ตามสบายเลยครับ) 

ตัวผมเองเมื่อได้รับกุญแจมาแล้วก็ถ่ายรูป Front เก็บไว้ทำการรีวิวสักหน่อย เอารูปไปดูกันครับ ^^

ที่โรงแรมนี้จะมีห้องพักประเภทต่าง ๆ ไว้รองรับแขกผู้มาพัก ดังนี้  

Single Room: มีขนาดห้องพัก 13-14 ตารางเมตร รองรับผู้เข้าพักได้ 1 คน

Semi Double Room: มีขนาดห้องพัก 14 ตารางเมตร รองรับผู้เข้าพักได้ 1-2 คน

Double Room: มีขนาดห้องพัก 14-16 ตารางเมตร รองรับผู้เข้าพักได้ 1-2 คน

Twin Room: มีขนาดห้องพัก 14-18 ตารางเมตร รองรับผู้เข้าพักได้ 1-2 คน

Japanese Western Style Room: มีขนาดห้องพักกว้างขวางที่สุดถึง 26 ตารางเมตร รองรับผู้เข้าพักได้สูงสุด 4 คน

หน้าตาของห้องพัก

ห้องพักของผมในทริปนี้ ผมเลือกเป็นห้อง Double Room แบบ Non-smoking ขนาดห้องพักจะอยู่ที่ 14 ตารางเมตร โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานต่าง ๆ ตามมาตรฐานของญี่ปุ่น เช่น ทีวี ตู้เย็น ชุดชงชา+กาน้ำร้อน ไม้แขวนเสื้อ กระจก (แต่ไม่มีตู้เสื้อผ้านะครับ) แอร์+ฮีตเตอร์ และที่ขาดไม่ได้สำหรับคนยุคนี้ นั่นคือ Free Wifi ก็มีให้จ้าาาา

ห้องน้ำก็กะทัดรัดสไตล์ญี่ปุ่นแต่มีอุปกรณ์ครบครันเช่นเคยครับ มีทั้งผ้าเช็ดตัว ชุดแปรงสีฟัน+ยาสีฟัน ไดร์เป่าผม และยังแถม Bath Robe ให้อีกด้วย อ้อ! สบู่กับแชมพูของที่นี่จะเป็นแบบกดจากขวดใหญ่แถมเป็นยี่ห้อ Shiseido ด้วยครับ หอมเชียวล่ะ ^^

ห้องพักของผมนั้น เอาจริง ๆ ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร นอนสองคนกับแฟนก็พอดี ๆ ส่วนวิวจากหน้าต่างก็ไม่ต้องหวังเลยครับ พอเปิดหน้าต่างที่เป็นแบบบานเลื่อนปุ๊บจะมีหน้าต่างอีกชั้นซึ่งเราทำได้แค่แง้ม (เปิดอ้าไม่ได้) จากนั้นก็จะเจอกับวิวตึกตรงข้าม O_O ซึ่งไม่มีอะไรเลยครับ อยู่ในเมืองใหญ่ก็ต้องทำใจหน่อยล่ะนะ 555

ความรู้สึกในการเข้าพักทริปนี้ ผมว่าก็โอเคนะครับ ถึงแม้ว่าโรงแรมจะอยู่ในเมืองแถมติดทางด่วน แต่เสียงจากถนนหรือเสียงรบกวนภายนอกก็ไม่ได้หนวกหูหรือมีเสียงแว้นเข้ามาเลย อาจจะมีเสียงรถหวอบ้างตามโอกาส แต่ก็ไม่ได้เสียงดังหรือมีเสียง " ตื้ด ๆ " แบบในผับดังกระหึ่มเข้ามาในห้องพักของเราแน่นอนครับ

ในส่วนของอาหารเช้านั้น ผมเลือกจองห้องพักเป็นแบบไม่รวมอาหารเช้าไว้เพราะผมชอบตื่นสาย ๆ แล้วเดินไปซื้อในร้านสะดวกซื้อเอา ดังนั้น อาจจะไม่มีหน้าตาของอาหารให้ชม อย่างไรก็ตาม โอทารุอยากบอกว่าผมได้ไปสำรวจบริเวณรอบ ๆ โรงแรมเรียบร้อยและค้นพบว่า " ของกินเพียบ " 

​บริเวณรอบ ๆ โรงแรมแห่งนี้นั้น มีร้านสะดวกซื้อชื่อดังถึง 3 ร้านด้วยกันคือ Family Mart, 7 Eleven และ Lawson แล้วถ้าเราเดินลงไปตามถนนใหญ่ทางทิศใต้ประมาณ 550 เมตร ก็จะมีซูเปอร์มาร์เก็ตท้องถิ่นชื่อ Gourmet City Minamikata ซึ่งมีอาหารสดขายในราคาถูกและที่สำคัญ " เปิด 24 ชั่วโมง " ด้วยล่ะ ผมเข้าไปนี่เจอคนไทยเพียบเลยครับ รับรองไม่มีเหงาแน่นอน หรือถ้าไม่อยากซื้อของสด ๆ ไปทาน แถว ๆ ซูเปอร์มาร์เก็ตนี้ ก็มีร้านอาหารให้เลือกเยอะมากกกกก เช่น คุชิคัตสึ ราเมน ร้านปิ้งย่าง อาหารจีน อาหารญี่ปุ่น แถมบางร้านเปิด 24 ชั่วโมงด้วย ดังนั้น ผมจึงกล้าบอกเลยว่า ผมไม่เสียดายเลยที่ไม่ได้เลือกจองแบบมีอาหารเช้าในโรงแรมครับ (ผมเองก็ไปนั่งทานราเมนร้อน ๆ แทน อร่อยเหาะเลย) 

ราคาห้องพัก : ในช่วงที่ผมไปนั้นเป็นช่วงเข้าฤดูหนาวของญี่ปุ่นซึ่งเป็นช่วงที่การท่องเที่ยวเริ่มเข้าหน้า Low season ทำให้ราคาลดลงมาพอสมควรครับ โดยห้อง Double Room ที่ผมจองไปนั้น ผมได้เรทที่คืนละ 2,500 บาท นอนไป 4 คืนก็ 10,000 บาท (มีเศษหลักสิบนิดหน่อยตามค่าเงินเยนที่มีขึ้นลงครับ) 

ส่วนห้องแบบ Single ที่เคยไปส่อง ๆ ดู ราคาจะอยู่ที่คืนละประมาณ 1,800 บาทครับ ทั้งนี้ ใครที่หมายปองห้องที่ใหญ่ที่สุดที่เป็นสไตล์ญี่ปุ่นอยู่ก็ขอให้เตรียมเงินไว้ที่ราว ๆ คืนละ 4,500 บาทนะครับ (รีบหน่อยนะครับ ห้องมีจำนวนไม่มากและเต็มเกือบตลอด)

*กรณีที่ไม่ได้จองอาหารเช้าแบบรวมในค่าห้องด้วย ทางโรมแรมคิดเพิ่มหัวละ 1,000 เยน/คน/มื้อ แต่แนะนำให้สอบถามราคาที่แน่นอนจากโรงแรมก่อนจ่ายเงินอีกทีนะครับ*

สรุป : โรงแรมนี้มีขนาดห้องพักที่พอเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยววัยหนุ่มสาวที่ต้องการความเป็นส่วนตัวหรือต้องการห้องน้ำในตัว โดยให้ความสำคัญไปที่ Location แบบใกล้ชิดสถานีรถไฟหลักเป็นอันดับแรกเพราะที่สถานี Shin Osaka เราสามารถขึ้นชินคันเซนไปเที่ยวเมืองอื่น ๆ เช่น เกียวโต นาโงย่า โตเกียว ฮิโรชิม่า หรือฟุกุโอกะ ได้สะดวก รวมทั้งสามารถเดินทางไป-กลับสนามบินคันไซด้วยรถไฟจากที่นี่ได้ด้วยครับ

อย่างไรก็ตามโรงแรมนี้อาจจะไม่เหมาะกับครอบครัวที่ต้องการห้องพักขนาดใหญ่/มีเด็กหรือผู้สูงอายุมาด้วยเพราะการออกแบบ Layout ห้องจะคับแคบพอสมควร ผู้ใหญ่วัยสูงอายุหลายท่านน่าจะอึดอัดครับ นอกจากนี้สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อาจจะมีไม่มากเท่าโรงแรมเครืออื่นประกอบกับห้องพักที่ให้ความรู้สึกเก่าก็อาจทำให้หลายท่านรู้สึกไม่ชอบใจนัก ยกเว้นจะได้ห้องพักที่เป็นสไตล์ญี่ปุ่นซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางมาก ๆ ซึ่งถ้าจองได้ห้องนี้ผมถือว่าเด็ดมากครับ!

เอาเป็นว่าส่วนตัวของโอทารุ ผมโอเคกับ Location ครับ ส่วนขนาดห้องพัก ถ้าเน้นออกไปเที่ยวข้างนอกเยอะแล้วกลับมานอนห้องอย่างเดียว ผมรับได้ครับ แต่ถ้าจะมาแบบ "พักผ่อน" คือ เที่ยวแบบเน้นกิน/shopping/นอนตื่นสายแบบชิว ๆ ผมจะพยายามจองห้องพักประเภทที่เป็น Japanese Western Style Room ให้ได้.. แต่ถ้าจองไม่ได้ ผมก็คงเปลี่ยนไปนอนที่อื่นที่มีพื้นที่กว้างกว่านี้ (ร่างกายจะได้ชาร์จแบตตัวเองได้อย่างเต็มที่ไงล่ะครับ) 

ภาพปกและภาพประกอบบางส่วนจาก agoda

ภาพแผนที่และข้อมูลจากเว็บไซต์ของโรงแรม

ภาพที่เหลือที่เป็นลายน้ำมาจากกล้องของโอทารุ ห้ามผู้ใดนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาตครับ 

บทความล่าสุด