t ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น

รีวิวโรงแรม Pearl Hotel Yaesu : ทำเลอย่างเด็ด เดินแค่เจ็ดนาทีถึงสถานีโตเกียวทันที!

รีวิวโรงแรม Pearl Hotel Yaesu : ทำเลอย่างเด็ด เดินแค่เจ็ดนาทีถึงสถานีโตเกียวทันที!

By , Thursday, 11 July 2019

​สวัสดีหน้าร้อนญี่ปุ่นครับทุกคน! ปีนี้โชคดีที่สภาพอากาศโดยรวมในแถบโตเกียวถือว่าไม่ได้ร้อนจัดมากมายอย่างปีก่อนๆนะครับ (จะหนักฝนซะมากกว่า) แต่ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักก็อาจเป็นอุปสรรคการเดินทางท่องเที่ยวได้บ้าง โดยเฉพาะเวลาเราเดินทางไปตามแหล่งท่องเที่ยวที่เป็น outdoor ต่างๆ แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ถ้าเรามาเที่ยวเองแบบไม่ได้ใช้ทัวร์แล้วดูพยากรณ์ว่าฝนจะตกแน่ เราก็อาจจะไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์หรือไปเดินห้างหลบฝนแทนก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่สามารถทำได้ง่ายครับ ^^ สำหรับบล็อกของวันนี้ โอทารุก็ขอโอกาสรีวิวโรงแรมสามดาวแห่งหนึ่งที่น่าสนใจไว้ให้เพื่อนๆเป็นตัวเลือกในการเดินทางมาท่องเที่ยวในแถบคันโตครับ โรงแรมนี้มีจุดแข็งมากๆก็คือ เรื่องของที่ตั้ง เพราะอยู่ในระยะที่เดินจากสถานีโตเกียวซึ่งเป็นสถานีหลักได้เลยล่ะครับ เอาล่ะ มาอ่านเนื้อหาของโรงแรมนี้กันได้เลยครับ!

​โรงแรมที่ผมจะมารีวิวในวันนี้ ชื่อว่า Pearl Hotel Yaesu เป็นเชนของโรงแรมญี่ปุ่นอีกเชนหนึ่งที่อยู่ในระดับ 3 ดาวและมีหลายสาขากระจายอยู่ในกรุงโตเกียวและจังหวัดใกล้เคียง (แต่ไม่มีสาขาในภูมิภาคอื่นๆนะครับ) อย่างไรก็ตาม สาขาที่ผมจะมารีวิวนี้ถือว่ามีจุดแข็งคือ ที่ตั้งครับ เพราะอยู่ในระยะที่เดินไหวแบบสบายๆระหว่างสถานีโตเกียวซึ่งเป็นสถานีหลักที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว ว่ากันง่ายๆคือ จะขึ้นชินคันเซนก็มาที่นี่ จะใช้ Yamanote ก็มาที่นี่ จะไปสนามบินนาริตะก็ขึ้นรถไฟจากที่นี่ ไป Disneyland ก็ที่นี่ รวมทั้งรถใต้ดินก็ขึ้นที่นี่ได้ด้วย เรียกได้เลยว่า โคตรศูนย์กลางการคมนาคมครับ โรงแรมแห่งนี้ผมจึงมองว่าตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายของการเดินทางด้วยรถไฟเป็นหลักอย่างแน่นอน (แต่ว่าอาจจะไม่ตอบโจทย์ชาวแบ็กแพ็คสักเท่าไหร่ เพราะราคาก็ประมาณนึงครับ) เอาล่ะ! ก่อนอื่นมาดูแผนที่ของโรงแรมกันครับ!

จากแผนที่จะเห็นได้ว่า เราเดินแค่อึดใจเดียวก็จะถึงประตูทางออกของสถานีโตเกียว (Nihombashi Exit) ที่ใกล้ที่สุดแล้วล่ะครับ ​ส่วนใครที่อยากรู้ว่าใช้เวลาแค่ 7 นาทีจริงๆตามที่โอทารุได้จั่วหัวไว้หรือเปล่านั้น เรามาดูการคำนวณของ Google Map กันได้เลยครับ ผลที่ออกมาก็คือ ระยะทางจากประตูทางออกถึงโรงแรมก็มีระยะทางแค่ 400 เมตรและใช้เวลาเพียง 6 นาทีในการเดินเท่านั้น (ผมแถมให้นาทีนึง เผื่อรอไฟแดง 555)

​และนี่ก็คือ หน้าตาของโรงแรมครับ แม้ว่าจะโดนตึก Mizuho บังอยู่แต่ก็หาไม่ยากแน่นอนครับ! และผมอยากบอกว่า หน้าโรงแรมยังมีทางลง (หมายเลข A1) รถไฟฟ้าใต้ดินสถานี Nihombashi ด้วยนะครับ ซึ่งสถานีนี้ก็ไม่ธรรมดาเพราะเป็นจุดเชื่อมรถไฟใต้ดินถึงสามสายคือ Asakusa Line, Ginza Line และ Tozai Line 

พอมาถึงตรงนี้ มือใหม่ที่ยังงงว่า "แล้วมันดียังไง ไอ้รถไฟสามสายที่ว่า?" มาผมบอกให้ ง่ายๆเลยนะ --> ถ้า Asakusa Line เราก็นั่งรถไฟใต้ดินที่ว่านี้ไปลง Asakusa (วัดที่มีโคมแดงไงครับ) ได้เลยแบบไม่ต้องเปลี่ยนรถอีก หรือจะนั่งยาวสุดสายไปลง Tokyo Sky Tree ก็ทำได้เลยเช่นกัน 

ส่วน Ginza Line นี่ก็ยิ้มเลย เพราะเรานั่งยาวไปลงย่าน Ueno ซึ่งเป็นอีกย่านที่คนไทยฮิตมากๆได้ มันคือ ย่าน Ameyoko ที่ขายอาหารราคาไม่แพงแล้วก็ไปละลายทรัพย์กันไงครับ นอกจากนี้เรายังนั่งไปลงย่านไฮโซอย่างกินซ่า หรือไปย่านชิคๆอย่างชิบูย่าก็ทำได้แบบไม่ต้องเปลี่ยนสายรถไฟอีกนะ! สบายพอไหมล่ะ

สำหรับ Tozai Line อาจจะไม่ได้เจาะแหล่งท่องเที่ยวหลัก แต่เราสามารถนั่งไปย่าน Nakano ซึ่งเป็นสวรรค์ของคนรักโมเดลได้ด้วยครับ

เรียกว่ารถไฟฟ้าสามสายที่อยู่หน้าโรงแรมนี้ก็น่าจะเรียกได้ว่า "โคตรสะดวก" สำหรับหลายๆคนเป็นแน่ครับ

​ด้านในโรงแรมนั้น บอกก่อนว่า Lobby จะอยู่ที่ชั้น 2 นะครับ โดยชั้น 1 จะเป็นห้องน้ำ (อยู่ใต้บันได) แล้วก็เป็น Locker กับ laundry area ทั้งนี้จะขึ้นบันไดหรือลิฟต์ไปชั้น 2 ก็แล้วแต่สะดวกเลยครับ ส่วนพนักงานที่ Front ก็สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษแบบพื้นฐานได้ (ร้านอาหารเช้าก็อยู่ใกล้ๆกับ Front แต่เรทค่าห้องผมไม่รวมอาหารเช้า จึงไม่ได้ลองชิมครับ)

สำหรับห้องประเภทต่างๆของโรงแรมนั้น หลักๆมีไม่กี่ประเภทและเหมาะสมกับการรองรับนักท่องเที่ยวที่มาแบบ 1-2 คนมากกว่าครับ (ห้องแบบ Triple ไม่มี) ส่วนประเภทห้องจะมีดังนี้

1. Single Room : ห้องเดี่ยว นอนได้ 1-2 คน ขนาดห้องจะอยู่ที่ 12 ตารางเมตรทุกแบบ

2. Double Room : ห้องดับเบิ้ล นอนได้ 1-2 คน ขนาดห้องมีสองแบบ คือ 14 ตารางเมตร และ 17 ตารางเมตร

3. Twin Room : ห้องทวิน นอนได้ 2-3 คน (คนที่สามนอนโซฟาหรือเสริมเตียงก็ได้) ขนาดห้องมีสองแบบ คือ 17 ตารางเมตร และ 18 ตารางเมตร

*มีห้องแบบปลอดบุหรี่ให้เลือกด้วยครับและห้องพักทุกประเภทมีห้องน้ำในตัว

ในส่วนของโอทารุนั้น รอบนี้ผมจองมาแบบห้อง Double ขนาด 17 ตารางเมตรครับ ตัวห้องถือว่าไม่กว้างแต่ก็ไม่คับแคบ นอนสองคนถือว่าสบายพอสมควร ไม่ต้องเบียดกันเดินและมีพื้นที่พอสามารถวางกระเป๋าเดินทางได้สองใบพร้อมกันแบบยังเหลือทางเดินครับ ข้อดีคือ ห้องของผมมันมีปาดมุมไว้วางโต๊ะเครื่องแป้งและเอาไว้ให้คุณผู้หญิงทั้งหลายแต่งหน้าได้โดยที่ไม่ขวางทางเดินหลักครับ คุณผู้ชายทั้งหลายจะลุกไปเข้าห้องน้ำก็สะดวก ไม่ต้องให้สาวๆลุกเพื่อเปิดทางครับ ส่วนหน้าต่างก็ถือว่าใหญ่กว่าหลายๆโรงแรมเยอะ เป็นกระจกใหญ่ๆบานเดียวมีม่านปิดเปิดเองได้ตามชอบครับ (แต่เปิดรับลมไม่ได้นะครับ) เอาล่ะ มาดูภาพห้องนอนกันเถอะ!

สิ่งอำนวยความสะดวกของโรงแรมที่นี่ก็เป็นไปตามมาตรฐานโรงแรม business hotel ของญี่ปุ่นนะครับ คือ มีทีวี ตู้เย็น ชุดนอน กาต้มน้ำ+ชุดชา ไดร์เป่าผม ที่ทับกางเกง ทิชชู่ รองเท้าใส่ในห้อง และก็ FREE WIFI ครับ ส่วนในห้องน้ำก็เป็นไปตามมาตรฐานอีกแหละ คือ ส้วมแบบ Auto สบู่ แชมพู ครีมนวด แต่โรงแรมนี้ดีหน่อย ในห้องน้ำมีเครื่องกรองน้ำมาให้ (สังเกตดู สีเงินๆอยู่ข้างก๊อกน้ำปกติตามรูปด้านล่างครับ) เราสามารถเปิดน้ำแล้วเอาแก้วน้ำมาดื่มจากเครื่องที่ว่านี้ได้เลย รสชาติโอเค ไม่เหมือนดื่มสดๆจากก็อกน้ำแน่นอน แถมช่วยผมประหยัดค่าน้ำเปล่าไปได้อีกหลายร้อยเยนเลยล่ะครับ ^^

​ข้อดีที่ผมชอบมากๆของโรงแรมนี้ก็คือ ความเงียบครับ แม้ว่าจะตั้งอยู่ในย่านธุรกิจจ๋าของกรุงโตเกียว แต่ถ้าหลังเลิกงานแล้วแถวโรงแรมจะเงียบมากๆ เพราะแถวโรงแรมไม่มีย่านกินดื่มหรือร้านพวกอิซากายะที่คนญี่ปุ่นชอบไปครับ แน่นอนว่า เสียงโหวกเหวกจากขี้เมาและรถราก็น้อยลงไปเช่นกัน (เสียงรถไฟนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่มีแนวรางอยู่แถวนี้เลย) ซึ่งผมชอบโรงแรมแบบนี้มากๆ เวลานอนก็พักผ่อนได้เต็มอิ่มทีเดียวครับ จุดแข็งที่สำคัญอีกอย่างของโรงแรมก็คือ รอบๆมีร้านสะดวกซื้อที่เราสามารถเดินไปได้อย่างสบายถึง 3 แห่ง + 1 ร้านเครื่องสำอางที่เปิด 24 ชั่วโมงนามว่า Welcia ด้วยครับ!!! ผมเองก็เดินสำรวจแถวนี้แบบชิวๆ และมีโอกาสออกมาเดินเล่นซื้อของที่ร้านเครื่องสำอางตอนตีสองด้วย!!! ปลอดภัยมากครับ บอกเลย

อย่างไรก็ตามเมื่อมีข้อดีย่อมมีข้อเสียครับ นั่นก็คือ ย่านนี้ไม่เหมาะกับคนติดแสงสีหรือมนุษย์ค้างคาว ประเภทกินดึกๆหรือสายตื๊ดๆ บอกเลยว่า "แถวนี้ไม่มี" ไปนอนแถวชินจุกุหรือชิบูย่าดีกว่าครับ แล้วก็ย่านนี้ไม่มีแหล่งละละลายทรัพย์เลย ห้างดองกี้ก็ไม่มี (สาขาที่ใกล้ที่สุดอยู่ Shimbashi ถ้าเดินก็ราวๆ 2 กิโลเมตรครับ) ดังนั้น ใครที่เป็นสายกินดึก สายเที่ยวกลางคืน สาย shopping ก็อาจจะไม่ปลื้มทำเลของโรงแรมนี้เท่าไหร่ครับ

สุดท้ายก็ไม่พ้นเรื่อง "ราคา" ที่หลายคนอยากรู้ --> ก็ขอบอกอีกทีว่า โรงแรมนี้ไม่เหมาะกับสายประหยัดนะครับ ควรเป็นสายเน้นทำเลมากกว่า เพราะค่าห้อง Single เริ่มต้นที่ประมาณ 12,000 เยน (ราวๆ 3500 บาท) ส่วน Double อยู่ที่ 18,000 เยน (ราวๆ 5,300 บาท) และ Twin จะอยู่ราวๆ 22,000-26,000 เยน (ราวๆ 6,500-7,000 บาท) ต่อห้องต่อคืนครับ (ย้ำว่า ไม่ใช่ต่อคน!) ทั้งนี้ ราคาที่ผมบอกคือ ราคาหน้าเว็บของโรงแรมครับ หากเราจองผ่านเอเจ้นท์พวกอโกด้าหรือบุคกิ้งดอทคอม ราคาจะถูกกว่าพอสมควร อย่างห้องของผมที่เป็น Double ก็ได้โปรโมชั่นเหลือห้องละ 3,200 บาทต่อคืนครับ อันนี้ก็คงต้องให้เพื่อนๆไปตรวจสอบเรทห้องพักแต่ละช่วงเวลาที่จะเดินทางกันอีกทีครับ เพราะราคามันก็ขึ้นๆลงๆตามช่วงเวลาและเทศกาลที่เราเดินทางด้วยเหมือนกัน  

และนี่ก็คือ รีวิวแบบง่ายๆสไตล์โอทารุครับ ก็หวังว่าเพื่อนๆจะได้ไอเดียและช่วยให้การเดินทางไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นได้อรรถรสและความรู้มากยิ่งขึ้นนะครับ แล้วพบกันใหม่ในบล็อกถัดไปคร้าบบบบบ

ที่มาของภาพปก booking.com ส่วนแผนที่จากเว็บไซต์ของโรงแรมโดยตรงและ google map

ภาพประกอบที่เหลือที่เป็นลายน้ำจากกล้องของโอทารุทั้งหมด ห้ามผู้ใดนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ก่อนได้รับอนุญาตนะครับ

บทความล่าสุด